- Blue Ocean Strategy คืออะไร?
- Red Ocean Strategy คืออะไร?
- วิธีตั้งคำถาม ภายใต้แนวคิด ERRC Framework
- ตัวอย่างกรณีศึกษาที่ทรงพลังอย่าง Marvel ในการย้ายจาก Red Ocean สู่ Blue Ocean ได้สำเร็จ
- สรุปกลยุทธ์ของ Red Ocean และ Blue Ocean
- Red Ocean
- Blue Ocean
- แล้วคุณตัดสินใจได้หรือยังว่าจะใช้กลยุทธ์ Red Ocean หรือ Blue Ocean?
ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจที่ดุเดือด ทำอย่างไรเราถึงจะเป็นผู้ที่ยืนอยู่เหนือน่านน้ำทะเลที่จะไม่มีใครฉุดลงได้ แล้วถ้าหากมี Red Ocean และ Blue Ocean เป็นตัวเลือก คุณอยากจะพาธุรกิจกระโดดลงไปที่ไหนมากกว่ากัน วันนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกลยุทธ์น่านน้ำหลากสี หรือ Ocean Strategy ที่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการทำธุรกิจในยุคนี้กัน หาคำตอบด้วยกันว่า Blue Ocean Strategy คือกลยุทธ์แบบไหน แล้วมีความแตกต่างกับ Red Ocean Strategy อย่างไร ไปอ่านต่อพร้อม ๆ กันเลย

Blue Ocean Strategy คืออะไร?
Blue Ocean คือ แนวคิดในการสร้างพื้นที่การแข่งขันใหม่ที่ไม่มีคู่แข่ง หรือพื้นที่ทางธุรกิจที่มีความต้องการซื้อของลูกค้าเยอะ แต่ไม่มีคนตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ โดยมุ่งเน้นการสร้างความแตกต่างของสินค้าและบริการ เช่น คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ ราคา การจัดส่ง การบริการลูกค้า เป็นต้น
ยกตัวอย่างธุรกิจบลูโอเชียนอย่าง Apple ที่เปิดตลาดด้วยการสร้างพื้นที่ใหม่ พร้อม ๆ กับการสร้างความแตกต่างจากโทรศัพท์มือถือทั่วไปในตลาด ทำให้แบรนด์ Apple ไม่เพียงแต่เป็นแบรนด์สมาร์ทโฟน แต่เป็นแบรนด์ที่สร้างภาพจำว่าเป็นบริษัทแห่งโลกของเทคโนโลยี
Red Ocean Strategy คืออะไร?
Red Ocean คือ พื้นที่ทางธุรกิจที่มีการแข่งขันดุเดือดที่สุด โดยเป็นการทำธุรกิจในสายอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสูง ในขณะเดียวกันคู่แข่งก็เยอะเช่นกัน ตลาดแบบนี้เราจะเรียกว่า Red Ocean ซึ่งเป็นตลาดส่วนใหญ่ที่มีบนโลกธุรกิจนั่นเอง
ยกตัวอย่างธุรกิจ Red Ocean อย่างเช่นพวกธุรกิจ FMCG หรือที่ย่อมาจาก Fast-Moving Consumer Goods สินค้าอุปโภคบริโภคที่ถูกซื้อมาและขายไปอย่างรวดเร็ว หลายแบรนด์มักจะสู้ด้วยการลดราคา หรือถ้าพูดให้เห็นภาพและเป็น Red Ocean ที่พบได้ในปัจจุบันนี้คือธุรกิจคาเฟ่ ที่เดินไปไหนก็เจอ ทำให้หลายแบรนด์ได้ล้มหายตายจากไปจากตลาดนี้เรื่อย ๆ
วิธีตั้งคำถาม ภายใต้แนวคิด ERRC Framework
1. กำจัด (Eliminate)
ตั้งคำถามว่า ‘ปัจจัยใดที่อุตสาหกรรมมองว่าควรถูกกำจัดออกไป?’ การที่องค์กรพิจารณาถึงสิ่งที่จำเป็นและสิ่งที่ไม่มีความจำเป็น จะทำให้เราสามารถหยิบต้นทุนเหล่านั้นมาพัฒนาส่วนอื่นแทนโดยไม่เสียเวลากับสิ่งที่ไม่จำเป็น เช่น ในอดีตเคยมีผลิตภัณฑ์ดิจิทัลที่สร้างความแตกต่างได้ดี แต่ในยุคปัจจุบันสิ่งเหล่านี้อาจะเป็นเรื่องที่ล้าสมัยไปแล้ว
2. ลด (Reduce)
‘ปัจจัยใดบ้างที่ควรลดให้ต่ำกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม?’ คำถามนี้ถูกถามเพื่อผลักดันให้คุณเห็นว่าสินค้าหรือบริการมีจุดไหนที่สร้างต้นทุนโดยไม่ได้รับผลกำไร เช่น บริการด้านดูแลลูกค้า หากจำเป็นต้องลด คุณจะลดอย่างไร? บริษัทคุณเป็นองค์กรที่เน้นการสร้างบริการโดยตรงหรือไม่ หรือการลดต้นทุนในการปรับเปลี่ยน Packaging จากบริษัทผลิตน้ำดื่มขวดแก้ว ปรับเปลี่ยนเป็นขวดพลาสติก เป็นต้น
3. ยกระดับ (Raise)
ต่อมาให้ลองคิดว่า ‘ปัจจัยใดที่ควรยกระดับให้สูงกว่ามาตรฐานของอุตสาหกรรม?’ พิจารณาว่าผู้ซื้อต้องการอะไรมากกว่าข้อเสนอมาตรฐานที่ธุรกิจในตลาดมอบให้ อยากให้ลองมองว่าการทำให้ตรงกับมาตรฐานเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำให้ดีกว่าก็เป็นเรื่องที่ท้าทายและไม่ค่อยมีใครกล้าทำ นี่จึงเป็นโอกาสที่คุณสามารถหยิบยกขึ้นมาคิดต่อ เพื่อยกระดับสินค้าและบริการให้กับแบรนด์ของคุณ
4. สร้างใหม่ (Create)
คำถามสุดท้ายคือ ‘คุณจะสร้างอะไรที่อุตสาหกรรมนี้ไม่เคยมีมาก่อน?’ แม้ว่าจะเป็นคำถามที่ค่อนข้างหิน แต่หากคุณตอบคำถามนี้ได้ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเจอข้อมูลใหม่ ๆ และสร้างความต้องการใหม่โดยการเปลี่ยนคนที่ไม่ใช่ลูกค้าให้เป็นลูกค้าของคุณได้โดยปริยาย
ตัวอย่างกรณีศึกษาที่ทรงพลังอย่าง Marvel ในการย้ายจาก Red Ocean สู่ Blue Ocean ได้สำเร็จ
Marvel เป็นตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของธุรกิจที่เคยอยู่ Red Zone สู่ Blue Zone ได้สำเร็จ หากพิจารณาจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในทศวรรษที่ผ่านมา ค่าย Marvel พุ่งทะยานขึ้นสู่อันดับต้น ๆ ของชาร์ตรายได้ที่ทำรายได้สูงสุด 5 เรื่องตลอดกาล แต่ก่อนที่ Marvel จะเป็นจักรวาลอันรุ่งโรจน์อย่างที่เห็น รู้หรือไม่ว่าบริษัทเคยล้มละลาย และมีหนี้สินกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาแล้ว ไปไล่ไทม์ไลน์ว่าบริษัทใช้ Blue Ocean Strategy อย่างไรให้กลับมาผงาดได้อีกครั้ง
- ไทม์ไลน์ช่วงปีแรก ๆ ของ Marvel – Marvel เป็นบริษัทหนังสือการ์ตูน ที่มีตัวละครที่รู้จักกันดีเพียงตัวเดียวคือ ‘กัปตันอเมริกา’ บริษัทพลิกโฉมจากที่เคยมุ่งเน้นเฉพาะเด็ก ๆ เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นนักศึกษาวิทยาลัยที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายตั้งแต่แรก โดยคิดค้นตัวละครที่มีพื้นเพตัวละครเป็นมนุษย์ทั่วไป แต่มีความเป็นฮีโร่ในขณะเดียวกัน ได้แก่ Spider Man, The Hulk และ Iron Man
- Red Ocean: ช่วงปี 1980 ฝ่ายบริหารได้เงินมหาศาล แต่กลับพาธุรกิจเข้าสู่ Red Zone ด้วยเข้าไปไล่เทคโอเวอร์บริษัทบันเทิงที่เล็กกว่า ไม่นานอุตสาหกรรมหนังสือการ์ตูนก็อยู่ในช่วงขาลง ทำให้ Marvel ตกที่นั่งลำบาก พร้อมกับหนี้มหาศาล
- การเคลื่อนไหวของ Marvel
- Peter Cuneo ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO
- ในช่วงที่บริษัทไม่เหลืออะไร ทำให้ต้องเลือกเอาสินทรัพย์ทางปัญญาอย่างลิขสิทธิ์ฮีโร่ต่าง ๆ ไปทำผลิตภัณฑ์ขายตั้งแต่ของเล่น เกม ไปจนถึงการทำเป็นภาพยนตร์
- ค่ายหนังต่าง ๆ ได้ซื้อฮีโร่ของ Marvel ไปทำหนัง และประสบความสำเร็จ ทำให้ Marvel ตระหนักถึงเส้นทางต่อไปของตัวเองในฐานะของบริษัทภาพยนตร์
- ปี 2009 Disney เข้าซื้อกิจการด้วยมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์
- กลยุทธ์ที่สำคัญ การเข้าสู่อุตสาหกรรมภาพยนตร์อย่างเต็มตัว จนเกิด Marvel Cinematic Universe หรือการสร้างหนังหลาย ๆ เรื่องที่มีความเกี่ยวพันกันในที่สุด
- การเคลื่อนไหวเชิงกลยุทธ์ของ Marvel ไม่เพียงแต่เข้าสู่สนามใหม่ แต่ยังสร้างสนามนั้นขึ้นใหม่เพื่อสร้าง Blue Ocean ให้แบรนด์ตัวเองอีกด้วย
- ERRC Framework ที่ Marvel ใช้
- Eliminate: กำจัดการบริหารงานที่ไม่จำเป็น ลดต้นทุนคน
- Reduce: ลดต้นทุนนักแสดง ลดการจัดการระดับกลาง
- Raise: ยกระดับสินค้า การสร้าง Storytelling ที่เชื่อมโยงกัน พร้อม ๆ กับการสร้างคุณค่าให้กับรูปแบบการผลิตภาพยนตร์
- Create: สร้างจักวาลของตัวเอง เน้นความคิดสร้างสรรค์
สรุปกลยุทธ์ของ Red Ocean และ Blue Ocean
Red Ocean
- แข่งขันในพื้นที่ตลาดที่มีอยู่
- ใช้ประโยชน์จากความต้องการที่มีอยู่แล้ว
- เน้นใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย
- เน้นแข่งขันด้วยราคา
- ให้ความสำคัญกับต้นทุนและกำไร
Blue Ocean
- บุกตลาดใหม่ที่คู่แข่งน้อย
- โฟกัสการพัฒนาหรือต่อยอดสินค้าให้ดียิ่งขึ้น
- มุ่งเพิ่มมูลค่าสินค้า
- สร้างความต้องการใหม่
- หลีกเลี่ยงตลาดที่อิ่มตัว
- สามารถเป็น Red Ocean ได้อย่างง่ายดาย เมื่อเวลาผ่านไป
แล้วคุณตัดสินใจได้หรือยังว่าจะใช้กลยุทธ์ Red Ocean หรือ Blue Ocean?
ไม่ว่าคุณจะพาธุรกิจเข้าสู่ตลาดแบบไหน ย่อมมีความเสี่ยงสูงอยู่ทุกที่ ปัญหาต่อไปที่ควรคิดคือการลดความเสี่ยงเหล่านั้นให้เหลือน้อยที่สุด ถ้าคุณมีไอเดียดี ๆ อยู่ในหัวแล้ว อย่าลืมสำรวจตลาดต่อว่าสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการทั้งในทางตรงและทางอ้อมคืออะไร? เก็บข้อมูลไปเรื่อย ๆ ด้วยการใช้เครื่องมือของนักการตลาดสมัยใหม่อย่าง Social Listening Tools ตามเทรนด์และกระแสสังคมได้แบบเรียลไทม์ พร้อมการวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึก ที่จะช่วยให้คุณตัดสินได้ว่าจะใช้กลยุทธ์ Red Ocean หรือ Blue Ocean กับธุรกิจของคุณดี
