รู้จักกลยุทธ์ A/B Testing มีข้อดีและตัวอย่างการนำไปใช้อย่างไร

สำหรับแบรนด์หรือองค์กรธุรกิจที่ทำการตลาดออนไลน์ ย่อมคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีจากแคมเปญการตลาดของตน แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าแคมเปญแบบใดที่จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย และนำไปสู่โอกาสในการสร้างยอดขายได้มากที่สุด

บทความนี้ เราจะชวนไปรู้จักกับการทำ A/B Testing คือกลยุทธ์ดี ๆ ซึ่งจะช่วยในการวัดผลเพื่อหาแคมเปญที่จะได้รับ Conversion Rate หรือก็คือยอดรวมการเข้าชม การคลิก หรือการมีส่วนร่วมต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ตัดสินทิศทางในการสร้างแคมเปญทางการตลาด พร้อมมีตัวอย่างการทำ A/B Testing มาบอกกัน

รู้จักการทำ A/B Testing

การทำ A/B Testing คือ การทดลองสร้างองค์ประกอบของเว็บเพจ อีเมล หรือคอนเทนต์วิดีโอ โพสต์ โฆษณา หรือชิ้นงานในแคมเปญทางการตลาดที่แตกต่างกัน แล้วนำมาวัดผลว่าแบบใดมีประสิทธิภาพ ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย และให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาแคมเปญทางการตลาดต่อไป

การทำ A/B Testing มีรูปแบบไหนบ้าง

รูปแบบที่ 1 A/B Testing

เป็นรูปแบบของการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบบางอย่างบนหน้าเว็บไซต์ โพสต์ หรือว่าชิ้นงานโฆษณา เพื่อวัดอัตรา Conversion แต่ละรายการ เพื่อหาผลลัพธ์ของการสร้างสรรค์แคมเปญที่ดีที่สุดจากการทดสอบ

รูปแบบที่ 2 Multivariate Testing

เป็นรูปแบบการทดสอบโดยปรับเปลี่ยนหลายองค์ประกอบของชิ้นงาน รวมถึงเป็นการทดสอบหลายตัวแปรพร้อมกัน เพื่อวิเคราะห์ว่าหน้าเว็บไซต์ โพสต์ หรือวิดีโอแบบใด ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยการทดสอบในรูปแบบนี้ เหมาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาด และนักพัฒนาขั้นสูง

รูปแบบที่ 3 Redirect Testing

เป็นการทดสอบโดยเปรียบเทียบระหว่างหลายหน้าเว็บไซต์ วิดีโอ หรือหลายชิ้นงานทางการตลาดพร้อมกัน เพื่อวิเคราะห์ว่าแบบไหนเป็นแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งรูปแบบนี้จะช่วยให้เห็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

การทำ A/B Testing มีข้อดีอย่างไร

ตอบสนองกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด

ในหลายครั้งที่แคมเปญทางการตลาดไม่สนองตอบความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแท้จริง การทำ A/B Testing มีข้อดี คือช่วยให้นักการตลาดมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งช่วยทำให้รู้ว่าหน้าตาเว็บไซต์ เนื้อหาคอนเทนต์ วิดีโอ โพสต์บน Social Media ต่าง ๆ รูปแบบใดที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำไปพัฒนาแคมเปญทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่อไป

เพิ่มจำนวน Conversion Rate

การทำ A/B Testing จะทำให้เห็นถึงรูปแบบของแคมเปญทางการตลาดที่สร้างการมีส่วนร่วมให้แก่กลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นโพสต์ โฆษณา Social Media รวมถึงคลิปวิดีโอ ที่จะสร้าง Conversion Rate ได้สูง ซึ่งจะนำไปสู่ผลลัพธ์การสร้างยอดขายได้ในที่สุด

ลดจำนวน Bounce Rate

A/B Testing จะทำให้นักการตลาดได้รู้ว่าหน้าเว็บไซต์ โพสต์ โฆษณา Social Media หรือว่าแคมเปญแบบใด ที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจหรือการมีส่วนร่วมจากกลุ่มเป้าหมายเท่าที่ควร จนผู้ชมคลิกออกจากหน้าเว็บหรือหน้าโพสต์นั้น ๆ เพื่อจะได้ปรับปรุงแก้ไขได้อย่างตรงจุด และช่วยลดยอด Bounce Rate ลงได้

ลดการปรับเปลี่ยนโดยไม่จำเป็น

เมื่อนำผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ A/B Testing มาวิเคราะห์ นักการตลาดจะเห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้นว่า ชิ้นงาน หน้าเว็บไซต์ หรือโฆษณาในรูปแบบใด มีประสิทธิภาพมากกว่ากัน จึงทำให้สามารถพัฒนาชิ้นงานโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนในส่วนที่ไม่จำเป็น หรือหน้าเพจ หน้าโพสต์ที่ดีอยู่แล้ว ช่วยลดทั้งระยะเวลาในการทำงาน ต้นทุนต่าง ๆ ได้อีกด้วย

เพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาด

A/B Testing เป็นการทดสอบเพื่อหาชิ้นงานทางการตลาดที่จะได้รับความสนใจและการมีส่วนร่วมสูงสุดจากกลุ่มเป้าหมาย จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญในการปรับปรุงแคมเปญทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปสู่การเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจได้ในที่สุด

A/B Testing ใช้ทำกับอะไรได้บ้าง

A/B Testing เป็นกลยุทธ์ที่ทางการตลาดสามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลาย โดยมีตัวอย่างการทำ A/B Testing ดังนี้

เนื้อหาในเว็บไซต์

ประโยคหรือข้อความในหัวข้อต่าง ๆ รวมถึงเนื้อหาบนเว็บไซต์ เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในการทำ A/B Testing เพราะช่วยให้นักพัฒนาสามารถรู้ได้ว่าเนื้อหาแบบใด หรือการจัดเรียงแบบไหน ที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด

ดีไซน์และองค์ประกอบของเว็บไซต์

การทำ A/B Testing ยังสามารถนำมาปรับใช้กับการทำดีไซน์และองค์ประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ได้ เพื่อการพัฒนาให้มีรูปแบบที่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ความรู้สึกใช้งานง่าย และยังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งานได้อีกด้วย

ปุ่ม CTA (Call-to-Action)

สำหรับการตลาดออนไลน์ ปุ่ม CTA (Call-to-Action) ไม่ว่าจะเป็น “ส่งข้อความ” “ช็อปเลย” “ใส่ตะกร้า” หรือว่าอื่น ๆ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองจากกลุ่มเป้าหมายได้ดี ซึ่งการทำ A/B Testing จะช่วยให้รู้ว่าในแต่ละรูปแบบคอนเทนต์ ปุ่ม CTA แบบใด หรืออยู่ตรงไหน ที่ได้รับการมีส่วนร่วมมากที่สุด เพื่อเลือกนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม

คำบรรยายสินค้า

การทำ A/B Testing ยังเป็นกลยุทธ์ที่สามารถนำมาใช้เพื่อวิเคราะห์ว่า ควรเขียนคำบรรยายสินค้าแบบใด นอกจากความสั้น กระชับ อ่านเข้าใจง่าย แล้วยังควรเพิ่มหรือลดองค์ประกอบใดอีกบ้าง เพื่อให้นักการตลาดสามารถเลือกใช้วิธีเขียนคำบรรยายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ เพื่อการตอบรับที่ดีที่สุดจากกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง

โฆษณาบน Social Media

ต้องยอมรับว่าในการทำการตลาดออนไลน์ โฆษณาบน Social Media ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ แต่โฆษณาแบบใดที่จะได้รับความสนใจมากที่สุด การทำ A/B Testing จะช่วยให้คำตอบเกี่ยวกับรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสม เพื่อให้นักการตลาดนำไปประยุกต์ใช้ได้

ทั้งหมดนี้ คงทำให้รู้กันแล้วว่าการทำ A/B Testing คืออะไร ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีเพิ่มยอดขายให้แก่แบรนด์ สำหรับแบรนด์ที่ต้องการทำโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ ที่ Mandala AI มีบริการเครื่องมือ Mandala Analytics ที่ช่วยแบรนด์วิเคราะห์ภาพรวมบนแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram, X (Twitter), YouTube และ TikTok เพื่อใช้ในการหาข้อมูลเชิงลึกที่มีประสิทธิภาพ และ Time Analytic สำหรับแนะนำช่วงเวลาโพสต์ที่ดีที่สุดในแต่ละวัน และช่วยนำเสนอช่วงเวลาโพสต์ที่ผู้ใช้มีส่วนร่วมมากได้ นับเป็นโซลูชันในการสร้างแคมเปญสำหรับแบรนด์ร้านค้าออนไลน์ รวมถึงการทำโฆษณายิงแอดใน Facebook, YouTube เพื่อสร้างโอกาสให้ธุรกิจแบรนด์ของคุณประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัล สนใจทดลองใช้บริการ หรือหากมีข้อสงสัย ส่งข้อความมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

https://www.mandalasystem.com/contact_us

ข้อมูลอ้างอิง:

1. How to Do A/B Testing: 15 Steps for the Perfect Split Test. สืบค้นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567
2. A/B Testing คืออะไร ทำไมแคมเปญต้องทดสอบการคลิก. สืบค้นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567