Social Media MarketingSocial ListeningFacebook MarketingInstagram MarketingTikTok Marketing
Try Mandala For Free

Marketing Psychology คือ? เทคนิคที่นักการตลาดใช้ดึงดูดลูกค้า

Marketing Psychology คือ? เทคนิคที่นักการตลาดใช้ดึงดูดลูกค้า

ใครว่าจิตวิทยาเป็นเรื่องไกลตัว จริง ๆ แล้ว ‘จิตวิทยา’ อยู่รอบๆ ตัวเรา โดยเฉพาะในเรื่องของการตลาด การนำหลักการทางด้านจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ หรือที่เรียกกันว่า “Marketing Psychology” หรือ “จิตวิทยาการตลาด” ก็เป็นกลยุทธ์ที่หลายธุรกิจให้ความสำคัญ แล้วจะสามารถนำเทคนิคทางการตลาดเชิงจิตวิทยามาใช้กับธุรกิจอย่างไร? ไปดูกัน

Marketing Psychology คือ

Marketing Psychology หรือจิตวิทยาการตลาด คือการใช้ทฤษฎีและหลักการจิตวิทยา เพื่อทำให้ลูกค้าตัดสินใจในการซื้อสินค้าหรือบริการในทางที่นักการตลาดต้องการ กลยุทธ์นี้ต้องใช้ความเข้าใจทฤษฎีจิตวิทยาเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้บริโภค และนำความเข้าใจนั้นมาใช้เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของการทำ Marketing Psychology

การนำหลักทางจิตวิทยามาใช้ทำการตลาด หรือ Marketing Psychology มีประโยชน์มากมายต่อธุรกิจและการตลาด ได้แก่

  • เข้าใจลึกซึ้งลูกค้า: การศึกษาและเข้าใจลึกซึ้งถึงพฤติกรรมซื้อของลูกค้าช่วยในการปรับกลยุทธ์ตลาดให้เหมาะสมกับความต้องการและความพึงพอใจของพวกเขา
  • กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ: การนำความเข้าใจจิตวิทยามาใช้ในการสร้างกลยุทธ์ที่เน้นความรู้สึกและการติดต่อทางอารมณ์ ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อสินค้าได้เร็วขึ้น
  • สร้างความไว้วางใจ: การใช้จิตวิทยาช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในสินค้าหรือบริการของธุรกิจ
  • การสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดี: เมื่อทราบว่าลูกค้าต้องการอะไรก็จะสามารถสร้างประสบการณ์การซื้อที่ดีและสร้างความประทับใจต่อลูกค้า

4 เทคนิคทางการตลาดเชิงจิตวิทยาที่แบรนด์ต่าง ๆ นิยมใช้ 

4 เทคนิคทางการตลาดเชิงจิตวิทยา

การใช้จิตวิทยาสำหรับทำการตลาดสามารถช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสร้างประสบการณ์ที่ดี กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ และสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้าอีกด้วย ดังนั้น เรามาดูกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงจิตวิทยาที่จะทำให้ Marketing Psychology ประสบความสำเร็จกัน ได้แก่

1. การเตรียมการรับรู้ (Priming)  

Priming หรือการเตรียมการรับรู้ เป็นเทคนิคที่หลายธุรกิจใช้เพื่อสร้างแบรนด์ ทำการตลาด รวมถึงสะกดจิตของกลุ่มเป้าหมายให้หันมานึกถึงแบรนด์เราเป็นแบรนด์แรก เทคนิคคือการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจของผู้บริโภคโดยที่เขาไม่รู้ตัว ผ่านการใช้ภาพ คำพูด หรือสัญลักษณ์ที่เชื่อมโยงกับสินค้าหรือบริการ 

เช่น ถ้านึกถึงโรงพยาบาล เราจะต้องนึกถึงหมอ ถ้านึกถึงร้านกาแฟ เราจะต้องนึกถึง Starbucks หรือถ้าหรือถ้าเรารู้จักและคุ้นเคยกับคำว่า “ice cream” มาก่อนอยู่แล้ว และต่อมาเราเห็นคำว่า “ice” เรามีโอกาสที่จะนึกถึงคำว่า “ice cream” มากกว่าคำอื่น ๆ ไปโดยอัตโนมัติ

เทคนิคนี้มีความสำคัญในการทำให้ลูกค้ามีความคิดและความรู้สึกที่เป็นไปตามที่ธุรกิจต้องการ ส่งผลให้มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะตอบสนองตามที่ได้รับการเตรียมการรับรู้ไว้ล่วงหน้า

2. การแลกเปลี่ยน (Reciprocity) 

การแลกเปลี่ยน (Reciprocity) เป็นหลักการที่มีบทบาทสำคัญในการตลาดและจิตวิทยาการตลาด เชื่อว่าเรามักจะตอบแทนเมื่อได้รับสิ่งที่ดีจากผู้อื่น หรือการตอบสนองต่อการได้รับบริการดี ๆ หรือประโยชน์อื่น ๆ จากแบรนด์ เช่น

  • การให้ของฟรี: การมอบของฟรีหรือตัวอย่างสินค้าสามารถสร้างความกระตือรือร้นในการตอบแทน เนื่องจากลูกค้าที่ได้รับของฟรีมักจะรู้สึกถูกใจและมีความผูกพันกับธุรกิจ
  • ส่วนลดหรือโปรโมชัน: การให้ส่วนลดหรือโปรโมชันสามารถกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อสินค้าหรือบริการได้ เนื่องจากพวกเขามีการตอบสนองต่อการได้รับสิทธิพิเศษ
  • การให้บริการเพิ่มเติม: การนำเสนอบริการเพิ่มเติมหรือประโยชน์พิเศษ จะทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษและตอบสนองไปในเชิงบวก

หลักการแลกเปลี่ยนทำให้ธุรกิจสามารถสร้างความเชื่อมั่นและความผูกพันกับลูกค้าได้มากขึ้น และเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคง

3. หลักฐานทางสังคม (Social Proof)

หลักฐานทางสังคม (Social Proof) เป็นทัศนคติทางจิตวิทยาที่กล่าวถึงการที่ผู้คนมักจะตอบสนองตามพฤติกรรมหรือความคิดเห็นของผู้อื่นในสังคม ส่งผลให้กระทบต่อพฤติกรรมและการตัดสินใจ เช่น เมื่อเราต้องการซื้อเครื่องสำอาง หลายครั้งเราเริ่มจากการหาข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือมาเป็นส่วนประกอบในการตัดสินใจบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการดูคลิปรีวิวเครื่องสำอางจากอินฟลูเอ็นเซอร์สายบิวตี้ หรือถ้าเราต้องการไปทานอาหาร เราก็มักจะหาอ่านรีวิวจากเพจรีวิวอาหารก่อนที่จะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้น

การมี Social Proof มีประโยชน์มากมาย เนื่องจากลูกค้ามักให้ความสำคัญต่อหลักฐานทางสังคมในรูปแบบของรีวิว คะแนน หรือความนิยมบนสื่อออนไลน์ การมี Social Proof จึงเปรียบเสมือนตัวช่วยยืนยันว่าสินค้าและบริการของแบรนด์มีประสิทธิภาพมากพอ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

โดยสามารถใช้ Mandala Cosmos ฟีเจอร์จาก Mandala AI เพื่อรวบรวมข้อมูลที่กำลังเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ จากแพลตฟอร์มยอดนิยมมาไว้ในที่เดียวทำให้ธุรกิจสามารถเลือกและนำเสนอคอนเทนต์ที่เข้ากับความพึงพอใจของผู้บริโภคและสามารถสร้าง Social Proof ที่กลุ่มเป้าหมายกำลังมองหาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

mandala ai ฟรี

4. จิตวิทยาของสี (Color Psychology)

Color Psychology คือ อาวุธที่ติดปีกให้กับการตลาดของคุณ หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่าจริงๆ แล้ว “สี” มีผลต่ออารมณ์ พฤติกรรม และการตัดสินใจของเราได้ ดังนั้นสีมักถูกใช้ในการสร้างความรู้สึกหรือการทำให้ผู้คนรู้สึกต่างๆ จึงไม่แปลกที่แต่ละแบรนด์ต่างก็มีสีประจำแบรนด์ที่แตกต่างกันไปในแต่ละอุตสาหกรรม เช่น

จิตวิทยาของสี color psychology
  • สีน้ำเงิน: แสดงถึงความสงบ สุภาพ เรียบร้อย ความน่าเชื่อ ความซื่อสัตย์ สง่างาม และเกียรติยศ มีความเป็นมืออาชีพ ทำให้บริษัทเทคโนโลยี แบรนด์รถยนต์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ นิยมใช้สีน้ำเงินในโลโก้ เช่น Facebook, Ford, PTT, SAMSUNG
  • สีแดง: มีอำนาจดึงดูดความสนใจ กระตุ้นประสาท ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น และสะดุดตามากที่สุด สื่อถึงความอยากอาหาร ทำให้ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มนิยมใช้สีแดง เช่น Coca Cola และ KFC
  • สีขาว/ดำ/เทา: ดูเรียบหรูและโดดเด่น เสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้ดูมีราคา มีระดับ และเท่ เป็นสีแห่งความอมตะและคลาสสิค เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการแสดงออกถึงความแพง สุขุม และมีเสน่ห์ เช่น Apple, Nike, Gucci
  • สีเหลือง: สีแห่งความสดใส  ร่าเริง เบิกบาน แบรนด์ใช้เพื่อตอกย้ำความสุขเมื่อลูกค้าได้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการของแบรนด์ เช่น IKEA, MR.DIY, Nok Scoot
  • สีเขียว: ให้ความรู้สึกสงบ แสดงถึงความสดชื่น มีชีวิตชีวา ผ่อนคลาย สบายตา และกระชับความเป็นมิตรกับลูกค้า นิยมใช้ในวงการแพทย์ อาหารคลีน หรือแบรนด์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น Plantae, Kbank, Bangchak

อย่างแบรนด์ที่เราใช้กันเป็นประจำในชีวิตประจำวัน เช่น Grab และ LINE MAN ก็มีการใช้สีเขียวเป็นส่วนประกอบหลักของโลโก้ เนื่องจากสีเขียวสื่อถึงความออร์แกนิค การส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ ซึ่งสื่อถึงปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 

grab food and line man marketing psychology
  • Grab Food เน้นสีขาวที่สื่อถึงความสะอาดของร้านค้า และอาหาร อีกทั้งการบริการที่มีมาตรฐาน โดยเฉพาะเรื่องความสะอาด ปลอดภัย และใส่ใจผู้บริโภค ส่วนสีเขียวเป็นการสื่อถึงความห่วงใยผู้ใช้บริการ และความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า
  • LINE MAN ใช้สีเขียวเป็นสีหลักเนื่องจากสื่อถึงธรรมชาติ สุขภาพ และอาหารที่มีคุณภาพ อาจจะเป็นอาหารคลีน หรืออาหารทั่วไป เป็นการสื่อให้คนทั่วไปได้เห็นถึงการเป็นอาหารที่เป็นมิตร น่าทาน และสื่อถึงความรวดเร็วและคล่องตัวในการทำงานหรือการจัดส่ง ส่วนอีกสี คือ สีขาว เป็นสื่อถึงด้านความสะอาดในการทำอาหาร และการจัดส่งอาหารที่ได้รับมาตรฐาน และมีความสะอาดเช่นเดียวกัน

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสำรวจการใช้สีของคู่แข่งว่าเหมือน หรือแตกต่างจากเราอย่างไร สามารถใช้ Mandala Cosmos ฟีเจอร์จาก Mandala AI เพื่อช่วยวิเคราะห์สีของรูปภาพในแต่ละโพสต์ รวมถึงสามารถดู Mood & Tone ของโพสต์ได้โดยใช้ฟังก์ชัน Prism Analytics ที่ช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์คู่แข่งได้ว่าเขามีการทำการตลาดด้วยสีอย่างไรบ้าง ใช้โทนสีไหนในการโน้มน้าวกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำมาพัฒนาให้แบรนด์ของเรามีความแตกต่างและโดดเด่นยิ่งขึ้น

วิเคราะห์ 3 แบรนด์ที่ใช้หลักการ Marketing Psychology โน้มน้าวใจผู้บริโภค

หลังจากอ่านหลักการและเทคนิคการใช้จิตวิทยาการตลาดเรียบร้อยแล้ว เรามาดูตัวอย่างการใช้งานจริงของแบรนด์ในประเทศไทยและแบรนด์ระดับโลกว่าเขามีการนำเทคนิคนี้ไปประยุกต์ใช้อย่างไรบ้าง

1. Red Bull

red bull marketing psychology

Red Bull มีการใช้ทฤษฎีจิตวิทยา Fear of Missing Out (FOMO) หรือการกลัวตกกระแสสังคมเพื่อสร้างยอดขายมากยิ่งขึ้น หลายคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า Red Bull เป็นสปอนเซอร์ให้กับแบรนด์กีฬามากมาย โดยเขาใช้เทคนิค FOMO ผ่านการนำกระป๋อง Red Bull ที่ดื่มหมดแล้วไปใส่ไว้เต็มถังขยะ ดังนั้นเมื่อมีคนเดินผ่านมาเห็นก็จะรู้สึกว่า Red Bull กำลังเป็นที่นิยมทำให้แต่ละคนที่เห็นอยากลองดื่มเนื่องจากไม่อยากตกกระแส ด้วยเหตุนี้เองทำให้ Red Bull กลายเป็นแบรนด์เครื่องดื่มที่กลายเป็นที่รู้จักทั่วโลกและสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 10,500 ล้านยูโร เติบโตจากปี 2022 ที่ผ่านมา 9%

2. Apple

Apple ใช้หลักการจิตวิทยาโดยใช้เทคนิคที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกอยากรู้เกี่ยวกับสินค้าของ Apple อย่างการเลือกใช้กลยุทธ์ “One More Thing” ในงานแถลงข่าวเปิดตัวสินค้าของพวกเขาทำให้กลุ่มเป้าหมายที่รับชมอยู่รู้สึกว่ามีสินค้าสำคัญบางอย่างที่ Apple ยังไม่เปิดเผยทำให้พวกเขาคอยจับจ้องและอยากเป็นเจ้าของของสินค้านั้น นอกจากนี้ Apple มักจะมีการแกะกล่องสินค้าในงานเปิดตัวทำให้ผู้ใช้งานรับรู้มูลค่าและคุณค่าของสินค้าทำให้จิตใต้สำนึกให้มีความผูกพันกับแบรนด์ขึ้นมา จนกลายเป็น Endowment Effect ที่รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของได้ทันที และทำให้เกิด Halo Effect หรือการบอกต่อคนอื่น ๆ ในเรื่องคุณภาพทำให้ Apple กลายเป็นสินค้า Tech Luxury ชิ้นหนึ่งที่มีคุณค่าทางจิตใจของผู้ใช้งาน

3. Oishi

Oishi เองก็เป็นอีกแบรนด์ที่มีการใช้หลักจิตวิทยาทางการตลาดในการดึงดูดลูกค้า โดยมีการใช้หลักการ FOMO เช่นเดียวกับ Red Bull ผ่านการให้ลุ้นทองใต้ฝาเครื่องดื่ม Oishi ทำให้ผู้คนรู้สึกอยากมีส่วนร่วมเนื่องจากกลัวว่าจะพลาดโอกาสในการได้ทองไป ยิ่งซื้อมากเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสได้ทองมากเท่านั้นทำให้ผู้คนต่างพากันซื้อเครื่องดื่มเพื่อลุ้นทอง อีกทั้งยังมีการใช้หลักการแลกเปลี่ยน (Reciprocity) อย่างการเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายสามารถลองชิมอาหารและเครื่องดื่มของ Oishi ผ่านการตั้งบูทสินค้าในงานต่าง ๆ เพื่อสร้างความสนใจและช่วยลูกค้ารู้สึกมั่นใจคุณภาพของสินค้าก่อนที่จะทำการตัดสินใจซื้อและยังสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีและเชื่อมโยงกับลูกค้าได้อีกด้วย

เพิ่มศักยภาพให้ธุรกิจของคุณ ด้วยเทคนิค Marketing Psychology 

เทคนิค Marketing Psychology หรือจิตวิทยาการตลาดเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยให้แบรนด์และธุรกิจสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายด้วยการนำเสนอสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของพวกเขา เปลี่ยนให้กลุ่มเป้าหมายกลายเป็นลูกค้าได้ในที่สุด โดยสามารถใช้เครื่องมือของ Mandala AI ในการรวบรวมข้อมูลที่กำลังเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ จากแพลตฟอร์มยอดนิยมมาไว้ในที่เดียวและวิเคราะห์คู่แข่งได้ว่าเขามีการทำการตลาดด้วยสีอย่างไรบ้าง เพื่อช่วยในการทำการตลาดที่โดดเด่นมากยิ่งขึ้นของแบรนด์

  • หมวดหมู่ :
สมัครสมาชิกเนื้อหาการตลาดฟรีของเรา

เราจะส่ง Email เนื้อหาใหม่ให้คุณทุกสัปดาห์

This email is already subscribe.