Social Media MarketingSocial ListeningFacebook MarketingInstagram MarketingTikTok Marketing
Try Mandala For Free

รู้จัก Customer Journey เทคนิคเข้าใจพฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่

รู้จัก Customer Journey เทคนิคเข้าใจพฤติกรรมลูกค้ายุคใหม่

ในยุคดิจิทัลที่ลูกค้ามีตัวเลือกมากมาย การทำความเข้าใจ Customer Journey คือแผนที่ที่จะนำพาคุณไปสู่ใจลูกค้า การทำความเข้าใจเส้นทางที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตรงเป้าหมายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงเว็บไซต์ การสื่อสาร หรือแม้แต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ ผลลัพธ์ที่ได้คือการเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าในระยะยาว

Customer Journey คืออะไร ?

Customer Journey คือ แนวคิดการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การรับรู้แบรนด์ ตัดสินใจซื้อหรือใช้บริการสินค้าและบริการของแบรนด์ และมากกว่านั้น เป้าหมายของ Customer Journey จึงไม่ได้มุ่งเน้นแค่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของแบรนด์ แต่ยังรวมไปถึงการสร้างปฏิสัมพันธ์และความรู้สึกที่ลูกค้ามีต่อแบรนด์ 

นอกจากนี้นักการตลาด ยังนำ Customer Journey ใช้เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดสำหรับเพิ่ม Insights เกี่ยวกับประสบการณ์ลูกค้าตลอดกระบวนการซื้อสินค้าและบริการ ในขณะเดียวกัน ยังใช้วัดผล ROI และประเมินวิธีดูแลลูกค้า รวมทั้งนำเสนอสิ่งที่ตอบโจทย์กับความต้องการลูกค้าได้อย่างตรงจุดด้วย

ทำไมธุรกิจถึงต้องเข้าใจ Customer Journey

customer journey

หัวใจสำคัญที่แบรนด์และนักการตลาดจำเป็นต้องทำความเข้าใจแนวคิด Customer Journey นั้น จะช่วยให้วางกลยุทธ์ของธุรกิจในระยะยาวได้ โดยอิงจากสิ่งที่ได้รับดังนี้

ช่วยให้เข้าใจความคิดในมุมมองของลูกค้า การสร้างกรอบคิดขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของลูกค้านั้นช่วยให้แบรนด์เข้าใจความคิดของผู้บริโภค รู้ว่าทำไมลูกค้าต้องเลือกซื้อสินค้าแบรนด์ ทำให้แบรนด์ตั้งเป้าหมายในการเอาชนะใจลูกค้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยให้แบรนด์ยกระดับการทำงานขององค์กรได้ เพราะแบรนด์ได้เห็น “ช่องโหว่” ที่อาจเกิดขึ้นในการนำเสนอสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้า

วิเคราะห์และรู้จุดบอดของสินค้าและบริการ ตามที่กล่าวไปข้างต้น การทำแผนผังของ Customer Journey ช่วยให้องค์กรเห็นภาพรวมหรือ Insights ของการตัดสินใจซื้อของลูกค้า และจับจุดได้ว่าแบรนด์ “พลาด” ในการสื่อสารกับลูกค้าตรงจุดไหนที่ทำให้ปิดการขายไม่สำเร็จ เช่น หากลูกค้าไม่ได้รับความช่วยเหลือในการบริการ ก็ส่งผลให้เกิดความรู้สึกแง่ลบต่อแบรนด์ เมื่อวิเคราะห์สาเหตุแล้ว จึงพบว่าพนักงานที่รับเรื่องหน้างานมีไม่เพียงพอ ทำให้ดำเนินการต่าง ๆ ล่าช้า จนกระทบต่อความพึงพอใจของลูกค้า หากต้องการแก้ปัญหาจุดนี้ ทางแบรนด์จึงเห็นสมควรว่าต้องจ้างพนักงานในส่วนนี้เพิ่ม เพื่อรองรับการให้บริการอย่างเพียงพอและทันที เป็นต้น

สร้างบริการที่เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าและลูกจ้าง จากข้างต้น หากปัญหาในการให้บริการได้รับการแก้ไขแล้วนั้น ย่อมเสริมความพึงพอใจของลูกค้ากลับมา ซึ่งทำให้ลูกจ้างรู้สึกเชิงบวกกับงานที่ทำมากขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งยังกระตุ้นให้พนักงานของแบรนด์อยากทำงานยกระดับแบรนด์ที่ดี

หลายคนอาจสงสัย Customer Journey ต่างกับ Buyer Journey อย่างไร

เดิมทีแบรนด์ควรให้ความสำคัญทั้ง Customer Journey และ Buyer Journey โดยประยุกต์แนวคิดทั้งสองลงในการสร้างงานประเภทคอนเทนต์ งานขาย การตลาด และกลยุทธ์บริหารจัดการต่าง ๆ 

หากกล่าวถึง Buyer Journey ว่าด้วยกระบวนการที่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายมาเป็นลูกค้า ในขณะที่ Customer Journey เน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าตลอดทุกขั้นตอนการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ ถึงอย่างนั้น แบรนด์จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับแนวคิดทั้งสองแบบ ไม่ว่าจะประยุกต์ใช้ในการสร้างคอนเทนต์ ทำยอดขาย ทำแผนการตลาด หรือบริหารกลยุทธ์ต่าง ๆ โดยผู้เริ่มต้นธุรกิจอาจมุ่งสร้างฐานลูกค้าเป็นอันดับแรก จึงเน้นทำความเข้าใจ Buyer Jourey ก่อน 

เมื่อแบรนด์มีฐานลูกค้าแล้ว ก็ค่อยเปลี่ยนมาเน้นแนวคิด Customer Journey เป็นลำดับต่อมา เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมให้แข็งแรงยิ่งขึ้น จนกลายมาเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์อีกทาง

ขั้นตอนการทำ Customer Journey มีอะไรบ้าง ?

customer journey

1. Awareness หรือ การรับรู้แบรนด์ ว่าด้วยการกระจายข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์ออกไปสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมายจะค้นหาโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการหรือ ​Pain Points ของตนจากหลากหลายแบรนด์ แบรนด์จึงควรนำเสนอสิ่งที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายสนใจในครั้งแรกพบ การนำเสนอคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลหรือความรู้เกี่ยวกับประเด็นที่กลุ่มเป้าหมายสนใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยแบรนด์อาจส่งต่อคอนเทนต์ออกมาในรูปของการทำประชาสัมพันธ์แบบ Seedings และยิงโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มสื่อโซเชียลไม่ว่าจะทาง Facebook, Instagram ,YouTube, Twitter (X), TikTok หรือการซื้อโฆษณาประเภทป้ายโฆษณาตามสถานที่ต่าง ๆ 

2. Evaluation หรือ Consideration คือ การประเมินและพิจารณาข้อมูลสินค้าหรือบริการของแบรนด์ โดยกลุ่มเป้าหมายอยู่ในขั้นมองหาและเปรียบเทียบข้อดีระหว่างตัวเลือกจากหลากหลายแบรนด์ แบรนด์ควรโน้มน้าวใจกลุ่มเป้าหมายให้รู้สึก “เชื่อ” ว่าสินค้าหรือบริการของแบรนด์ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด นอกจากนี้ แบรนด์ต้องศึกษาข้อมูลของคู่แข่ง เปรียบเทียบสิ่งที่มีและขาด จากนั้นจึงประเมินว่า ข้อดีของแบรนด์ที่ต่างจากคู่แข่งนั้นคืออะไร สิ่งสำคัญ คือต้องให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใข้งานเป็นหลัก นอกจากข้อดีของแบรนด์ที่เหนือกว่าคู่แข่วแล้วนั้น ควรให้ข้อมูลสำคัญอย่างรายละเอียดอย่างทำเลที่ตั้ง หมายเลขโทรศัพท์ร้าน หรือแม้แต่รีวิวของลูกค้า ซึ่งทำออกมาได้ทั้งในรูปของบล็อก บทความ หรือคอนเทนต์ในสื่อโซเชียลต่าง ๆ

ใช้ฟรี mandala

3. Purchase หรือ Conversion คือ ขั้นตอนที่กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อ กลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ โดยแบรนด์ต้องใช้ CTA จูงใจให้กลุ่มเป้าหมาย Take Action ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้าหรือบริการ กดติดตามช่องทางของแบรนด์ หรือลงทะเบียนกับทางแบรนด์สำหรับปิดการขายภายหลัง แบรนด์ต้องทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่า สินค้าและบริการของตนแก้ปัญหาของพวกเขาได้มากที่สุด ไม่ว่าจะชูข้อดีด้านราคา คุณค่า บริการหลังการขาย นโยบายและคุณค่าของแบรนด์ อีกทั้งให้ข้อเสนอที่น่าสนใจและคุ้มค่ากับลูกค้า

4. Usage หรือ Engagement คือ การสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าผ่านการใช้งานสินค้าหรือบริการ เพื่อทำให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าและบริการไปแล้ว กลับมาซื้อหรือใช้บริการอีกครั้งเป็นประจำ ซึ่งไม่เพียงครอบคลุมการซื้อสินค้าที่หน้าร้านหรือช่องทางออนไลน์ กลับมารับบริการที่สถานให้บริการ แต่ยังครอบคลุมถึงการเสพและสนับสนุนคอนเทนต์ของแบรนด์ด้วย แบรนด์อาจพิจารณาการทำการตลาดด้วยการใช้  Email Marketing, Social Media Marketing และช่องทางอื่น ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างประสบการณ์สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้มากขึ้น

5. Repurchase หรือ Retention ว่าด้วยการทำให้ลูกค้าที่ใช้งานสินค้าหรือบริการของแบรนด์รู้สึกมีความสุข โดยแบรนด์ต้องมีวิธีบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมให้คงอยู่กับแบรนด์ อันนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “Brand Loyalty” ที่สำคัญ การรักษาฐานลูกค้าเดิมทำให้เราลงทุนน้อยกว่าสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ แบรนด์อาจคิดกลยุทธ์เพิ่มยอดขายหรือกิจกรรมทางการตลาดกับกลุ่มลูกค้านี้ โดยนำเสนอข้อเสนอพิเศษหรือส่วนลดน่าสนใจ แล้วประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางติดต่อต่าง ๆ เช่น อีเมล แพลตฟอร์มโซเชียล เว็บไซต์ เป็นต้น 

6. Advocacy คือ การทำให้ฐานลูกค้าเดิมรู้สึกเชื่อมโยง มีความสุข และเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ที่ได้บริโภคสินค้าหรือใช้บริการนั้น สิ่งที่มากกว่าการกลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการซ้ำก็คือ ฐานลูกค้าเดิมนำไปสู่การขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยกลุ่มลูกค้าเหล่านี้เป็นเหมือนกระบอกเสียงที่ช่วยบอกต่อแบรนด์ให้ผู้คนได้รู้จักมากขึ้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือการรีวิวหรือทำ Testimonial แล้วนำเสนอกระจายไปยังช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ แพลตฟอร์มสื่อโซเชียล หรืออีเมล

ประโยชน์ของการเข้าใจ Customer Journey

โดยทั่วไปแล้ว การทำความเข้าใจ Customer Journey จะช่วยให้แบรนด์เห็นภาพรวมของกระบวนการซื้อของลูกค้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยแบรนด์จะยิ่งเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร คาดหวังอะไร แล้วแบรนด์ควรนำเสนอสิ่งใดที่เข้าไปช่วยแก้ Pain Point ของพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์ 

  • เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้ง: ช่วยให้ทราบว่าลูกค้าของคุณคิดอะไร ทำอะไร และรู้สึกอย่างไรในแต่ละขั้นตอน
  • ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า: ช่วยให้คุณระบุจุดบกพร่องและปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
  • เพิ่มยอดขาย: การเข้าใจ Customer Journey ช่วยให้คุณสามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
  • เพิ่มความภักดีของลูกค้า: ลูกค้าที่ได้รับประสบการณ์ที่ดี จะมีความภักดีต่อแบรนด์และกลับมาซื้อซ้ำ
  • ลดต้นทุน: การแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน Customer Journey จะช่วยลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: ช่วยให้ทุกฝ่ายในองค์กรมีความเข้าใจตรงกันเกี่ยวกับประสบการณ์ของลูกค้า

นอกจากนี้ การเรียนรู้วิธีสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าในแต่ละ Touchpoints ยังช่วยให้แบรนด์นำเสนอประสบการณ์การซื้อสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้าได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนส่งข้อความที่เป็นประโยชน์และมีแนวโน้มสร้าง Conversions ในแต่ละข่องทางให้แก่ลูกค้าได้อย่างตรงจุด

Customer Journey Map คืออะไร

customer journey map

Customer Journey Map คือ การวางผังเรื่องราวของประสบการณ์ลูกค้าที่มีต่อแบรนด์ โดยแจกแจงออกมาตามแต่ละ Touchpoints นับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักการตลาดวางกลยุทธ์เสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า ทั้งนี้ การวางผังเรื่องราวจะมีความละเอียดซับซ้อนแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่าตั้งเป้าหมายไว้อย่างไร

ทำไม Customer Journey Map ถึงสำคัญ

การทำ Customer Journey Map นับว่าสำคัญไม่น้อย เพราะช่วยให้แบรนด์เห็นและเข้าใจภาพรวมการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ผ่านมุมมองจากลูกค้าจริง ซึ่งลงลึกทั้งในแง่ของความรู้สึก การมองเห็น การได้ยิน ตลอดจนปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ ถือเป็นฐานของการสร้างประสบการณ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า 

Customer Journey Map ควรมีอะไรบ้าง

โดยทั่วไปแล้ว การทำ Customer Journey Map ประกอบด้วยสิ่งเหล่านี้

customer journey map

1. User actions ว่าด้วยการลงรายละเอียดว่า ลูกค้าทำอะไรในแต่ละขั้นตอนของการตัดสินใจซื้อ โดยแบรนด์เจาะลึกไปว่า ลูกค้าจะมีวิธีการอย่างไรเมื่อเผชิญกับเงื่อนไขแต่ละแบบ เช่น หากอยู่ในขั้นที่ลูกค้าพบว่าตนเองกำลังประสบปัญหาบางอย่าง ก็อาจเลือกค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต โดยศึกษาจากบทความหรือข้อเขียนบนเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ 

2. Touchpoints คือ ตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าลูกค้ามีความคิดเห็นต่อแบรนด์อย่างไร โดยแบรนด์จะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์โดยตรง ที่สำคัญ Touchpoints เป็นมากกว่าช่องทางออนไลน์ของแบรนด์ แบรนด์จึงควรคำนึงถึงช่องทางและวิธีทำการตลาดหลากหลายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากท่ีสุด เพื่อให้ได้โอกาสในการยกระดับขั้นตอนตัดสินใจซื้อของลูกค้าได้ดีขึ้น

3. Pain Point คือ ขั้นตอนที่ลูกค้ารู้ว่าตนเองประสบปัญหาหรือกำลังมองหาอะไร ให้ตอบโจทย์ความต้องการของตนเอง แบรนด์จึงต้องตีโจทย์ให้ได้ว่า กลุ่มเป้าหมายของตนจะ “ค้นหา” อะไรและที่ไหน วิธีการและช่องทางการค้นหาสิ่งที่ช่วยแก้ Pain Points นั้นก็ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาผ่าน Search Engines หรือเลือกเสพคอนเทนต์ที่กล่าวถึงเรื่องราวที่กำลังสนใจในสื่อต่าง ๆ 

4. Solution ถือเป็นองค์ประกอบสุดท้ายของการทำ Customer Journey Map โดย Solution ว่าด้วยวิธีการที่แบรนด์เข้าถึงและตอบโจทย์สิ่งที่ลูกค้ามองหาได้อย่างไร โดยแบรนด์จำเป็นต้องหาวิธีเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งหาวิธีที่ช่วยยกระดับขั้นตอนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้ได้ ผ่านการนำเสนอฟังก์ชันหรือข้อดีของสินค้าหรือบริการที่เหนือคู่แข่ง

วิธีการวิเคราะห์ Customer Journey Map ให้ตอบโจทย์การนำเสนอสินค้า

หากแบรนด์และนักการตลาดต้องการวางผัง Customer Journey ให้ใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพนั้น ลองประยุกต์ใช้วิธีการเหล่านี้เข้าในการทำงานของตน

1. การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายให้สอดคล้องกับธุรกิจที่ทำ แบรนด์ควรเริ่มต้นศึกษาข้อมูลว่า “ใคร” บ้างที่สนใจซื้อสินค้าหรือบริการของเรา รวมทั้งคนที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ โดยอาจเก็บข้อมูลจากการทำสำรวจต่าง ๆ แล้วตั้งคำถามตามตัวอย่างต่อไปนี้ 

  • ลูกค้าได้ยินหรือรู้จักแบรนด์ได้อย่างไร
  • อะไรทำให้สนใจเข้าเยี่ยมชมช่องทางติดต่อของแบรนด์
  • เป้าหมายหรือปัญหาที่ลูกค้าต้องการทำให้ได้คืออะไร
  • ลูกค้ารู้จักและเข้ามาใช้งานหรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์นานแค่ไหนแล้ว 
  • เคยซื้อสินค้าหรือใช้บริการของแบรนด์มาก่อนหรือไม่ หากเคย อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจมาซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์ 

2. รู้ถึงปัญหาของสินค้า และแก้ไขให้ถูกจุด เมื่อวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายแล้ว ต่อมาก็ต้องระบุว่า Touchpoints แต่ละจุดของช่องทางสื่อสารของแบรนด์มีอะไรบ้าง เป็นอย่างไร โดยแบรนด์ควรเริ่มจาก Touchpoints ที่กลุ่มเป้าหมายกำลังใช้งานหรือมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ที่สำคัญ การทำความเข้าใจ Touchpoints แต่ละจุดจะช่วยให้เข้าใจได้ว่า กลุ่มเป้าหมายประสบปัญหาในการเข้าถึงตลอดจนใช้งานสินค้าหรือบริการง่ายหรือยาก

3. พิจารณาสิ่งที่แบรนด์ “มี” และ “ต้องมี” เพราะ Customer Journey Map ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงการทำงานแต่ละส่วนของธุรกิจได้ ซึ่งช่วยเน้นว่าแบรนด์เราต้องมี “อะไร” บ้างที่จะเข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าที่มาซื้อสินค้าและบริการ สิ่งที่ต้องมีก็คือ สิ่งที่แบรนด์มีอยู่ก่อนแล้ว และสิ่งที่แบรนด์ต้องยกระดับและพัฒนาให้ดีขึ้น ที่สำคัญ เมื่อพิจารณาว่าต้องมีสิ่งใดอยู่บ้างนั้น ควรพิจารณาทรัพยากรที่จะช่วยสร้างผลกระทบเชิงบวกและเพิ่มคุณค่าให้กับแบรนด์ได้สะดวกและรวดเร็ว 

4. รับฟังผลตอบรับเพื่อปรับปรุงให้ดีขึ้น การรับฟังผลตอบรับจากลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้นทำได้ โดยเพิ่มฟีเจอร์ให้คะแนนระดับความพึงพอใจ สิ่งนี้จะช่วยให้ทีมนำไปใช้เป็นแนวทางวางแผน Customer Journey ครั้งต่อไปได้ดีขึ้น

สร้าง Customer Journey ที่สมบูรณ์แบบด้วย Mandala AI

Customer Journey ช่วยเปิดเผยภาพรวมที่ชัดเจนของกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้า ทำให้แบรนด์เข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตั้งแต่เริ่มสนใจจนถึงการตัดสินใจซื้อ และการใช้งานผลิตภัณฑ์หรือบริการหลังการขาย เมื่อเข้าใจเส้นทางของลูกค้าแล้ว แบรนด์สามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างตรงจุด เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่น่าประทับใจและดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ รวมถึงรักษาลูกค้าปัจจุบันให้คงอยู่กับแบรนด์ในระยะยาว การใช้ Mandala AI เข้ามาช่วยในการติดตามและวิเคราะห์ Customer Journey จะยิ่งทำให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการติดตามพฤติกรรมของลูกค้าแบบเรียลไทม์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ทำให้แบรนด์สามารถปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้าได้ทันท่วงที ส่งผลให้เกิดการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้นและสร้างความสัมพันธ์อันยาวนานกับลูกค้า

ใช้ฟรี mandala

  • หมวดหมู่ :
สมัครสมาชิกเนื้อหาการตลาดฟรีของเรา

เราจะส่ง Email เนื้อหาใหม่ให้คุณทุกสัปดาห์

This email is already subscribe.