จะดีกว่าไหมหากแบรนด์สามารถดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาหาแบรนด์เองได้ แทนการวิ่งเข้าหาลูกค้า เพราะนั่นอาจไปสร้างความน่ารำคาญใจให้พวกเขาได้ เหมือนกับเซลล์ที่คอยตามตื๊อขายคอร์สให้กับเราบนห้าง
‘การดึงดูด’ ลูกค้านั้น ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานของการตลาดแบบ Inbound Marketing ที่มุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาได้ผ่านการตลาดดิจิตอล ซึ่งทุกวันนี้ 70% ของนักการตลาดให้ความสำคัญกับการทำ Inbound Marketing เป็นอันดับแรก เรียกได้ว่าเป็นแนวคิดที่เข้ามาแทนที่การตลาดแบบดั้งเดิมได้เลย
Inbound Marketing ไม่ใช่แค่แนวคิดทางการตลาดที่เพิ่งจะมาเป็นเทรนด์ในตอนนี้ แต่มันคือแนวคิดที่มีความสำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจในยุค Digital age ถือเป็นจุดเริ่มต้น ในการสร้างฐานลูกค้าที่เหนียวแน่นให้คงอยู่อย่างยั่งยืน
วันนี้บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Inbound Marketing ให้มากขึ้น พร้อมชี้ให้เห็นว่า กลยุทธ์การตลาดนี้มีความสำคัญอย่างไรในยุค 2024
Inbound marketing คือ
Inbound Marketing คือ หลักการตลาดที่เน้นไปที่ ‘การทำให้ลูกค้ารู้สึกดึงดูดกับแบรนด์’ ผ่านการสื่อสารแบรนด์ที่มีเนื้อหาที่สร้างสรรค์ สร้างคุณค่า และสามารถตอบโจทย์ของพวกเขาได้
แนวคิดของ Inbound Marketing เหมือนกับเวลาที่เราทำความรู้จักเพื่อนใหม่ เราควรต้องสร้าง First impression ที่ดีเสมอ และสำหรับธุรกิจเองก็เช่นกัน เพราะหากแบรนด์สามารถสร้างเนื้อที่ดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างสมัครใจ นั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างฐานลูกค้าได้ และหากธุรกิจสามารถรักษามาตรฐานการสื่อสารแบรนด์ที่ดีได้เรื่อย ๆ ก็ถือเป็นการฟูมฟักความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย จนสามารถทำให้พวกเขาต้องการที่จะซื้อสินค้าและบริการของแบรนด์ เกิดการกลับมาซื้อซ้ำ จนกลายเป็นการสร้าง Brand loyalty ที่แน่นแฟ้นจากพวกเขาได้
Framework ของ Inbound Marketing หากพูดให้เข้าใจโดยง่ายคือ การเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายที่เป็น Stanger ไปเป็นลูกค้า (Customer) ของแบรนด์และสร้างแนวโน้มในการเป็นผู้บอกต่อ (Promoter) แบรนด์ในท้ายที่สุดนั่นเอง
ทำไม Inbound marketing ถึงสำคัญในปี 2024
1. Trend การตลาดปัจจุบันได้เปลี่ยนไป
จำนวนผู้ใช้งาน TikTok นั้นได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดใน 1-2 ปีที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันไปเสพย์คอนเทนต์กันเสียส่วนใหญ่ แม้ว่าในบางคอนเทนต์เป็นคอนเทนต์เชิงตลาดแต่หากยังคงความบันเทิงได้อยู่ก็อาจยังสามารถดึงดูดผู้ชมได้ มากไปกว่านั้น สถิติจาก GWI ได้ระบุไว้อีกว่า กลุ่ม GenZ และ Millennials ต้องการให้โฆษณาสามารถสร้างความบันเทิงแต่ยังให้ข้อมูลสินค้าได้ในเวลาเดียวกัน
2. สร้าง Lead ที่มีคุณภาพ
อย่างที่ได้กล่าวไปว่า Inbound Marketing เน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าผ่านการให้ข้อมูลหรือเนื้อหาที่สร้างคุณค่าให้แก่พวกเขา และนั่นก็หมายความว่าพวกเขามีความสนใจในตัวแบรนด์หรือสิ่งที่แบรนด์สื่อสารออกไปอย่างแท้จริง ก่อให้เกิดมีแนวโน้มที่กลุ่มเป้าหมายจะซื้อสินค้าของแบรนด์นั่นเอง ซึ่งเมื่อพิจารณาจากสถิติแล้วด้วยนั้น ทำให้พบอีกว่า ธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์ Inbound Marketing สามารถสร้างยอด Lead ได้มากกว่าธุรกิจที่ไม่ใช้มากถึง 126% เลย
3. เจาะกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำ
เพราะการตลาดแบบ Inbound ถือเป็นการสื่อสารเนื้อหาเฉพาะไปยังกลุ่มคนเฉพาะ นั่นก็หมายความว่า คอนเทนต์ของแบรนด์สามารถคัดกรองกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำมากขึ้น ทำให้แบรนด์สามารถทำการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภคของแบรนด์ได้ดีมากขึ้นและนำปรับใช้ต่อกับกลยุทธ์อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. มีแนวทางการตลาดอย่างครอบคลุม
การตลาดแบบ Inbound ถือว่าเป็นแนวทางการตลาดที่ครอบคลุมเพราะนักการตลาดต้องวางกลยุทธ์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปถึงจุดสุดท้ายของ Customer journey ตั้งแต่การสร้าง Brand awareness โดยการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย จนไปถึงการทำให้พวกเขาเปลี่ยนเป็นลูกค้าของแบรนด์ได้ ซึ่งกลยุทธ์นี้ก็ถือว่าเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้แก่ลูกค้าไปในตัวอีกด้วย
Inbound Marketing VS Outbound Marketing
ในขณะที่ Inbound Marketing คือการดึงกลุ่มเป้าหมายเข้ามาหาแบรนด์ เพื่อมอบคุณค่าและเน้นการแก้ไขปัญหาให้แก่พวกเขา ส่วน Outbound Marketing คือ การที่แบรนด์นำตัวเองไปสู่ในสายตาของผู้คนกลุ่มใหญ่
Outbound Marketing ถือเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดแบบดั้งเดิมที่เป็นการสื่อสารไปหาผู้คนโดยตรง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเป็นกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมากที่สุด เช่น การยิง Ads, สื่อสิ่งพิมพ์, Billboard, สื่อนอกบ้าน (Out–of-Home), การขายผ่านโทรศัพท์, วิทยุ, โฆษณษบนทีวี เป็นต้น
หากคุณกำลังตั้งคำถามว่าแล้วอันไหนดีกว่ากัน ?
คำตอบ คือ Inbound Marketing และ Outbound Marketing นั้นไม่ได้มีตัวชี้วัดที่แน่ชัดว่ากลยุทธ์ไหนนั้นดีกว่ากัน แต่ขึ้นอยู่กับบริบททางธุรกิจของคุณ เช่นหากคุณเป็นแบรนด์ที่ขายสินค้าทั่วไป ที่ต้องการให้ผู้คนกลุ่มใหญ่เข้าถึงแบรนด์ของคุณ การทำการตลาดแบบ Outbound ถือว่าตอบโจทย์ได้อย่างดี
สำหรับธุรกิจที่มีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ การทำการตลาด Inbound มีความเหมาะสมกว่า เพราะกลยุทธ์นี้เป็นการดึงดูดลูกค้าผ่านการมอบคุณค่าที่มีเนื้อหาตรงประเด็นและเฉพาะเจาะจงกับกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ
ทั้งนี้แบรนด์ที่กำลังพิจารณาการใช้ 2 กลยุทธ์นี้ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางการสื่อสาร ระยะเวลาของแคมเปญ เนื้อหาของคอนเทนต์ และงบประมาณ สำหรับธุรกิจที่มีทุนสูง ก็สามารถใช้ทั้ง Inbound Marketing และ Outbound Marketing ร่วมกันได้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
รูปแบบ Inbound Marketing มีอะไรบ้าง
1. Blog
การทำ Blog ถือเป็นหนึ่งในรูปแบบของการตลาดแบบ Inbound ที่สร้างคุณค่าให้แก่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างมาก ทั้งนี้ขอบเขตการทำ Blog ของแต่ละแบรนด์นั้นก็มีอยู่หลากหลาย ตั้งแต่การให้ความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าหรือหัวข้อในหมวดหมู่ที่กลุ่มเป้าหมายสนใจ สอนวิธีการใช้ และตอบปัญหาที่พวกเขาอาจเกิดข้อสงสัย เป็นต้น
นอกจากนี้หากแบรนด์สามารถผลิต Blog ได้อย่างสม่ำเสมอ ก็เป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย และเมื่อพิจารณาจากสถิติแล้ว ยังพบอีกว่า แบรนด์ที่ทำการผลิต Blog อย่างน้อย 16 ชิ้น/เดือน จะสามารถสร้าง Traffic บนแพลตฟอร์มของแบรนด์ได้มากกว่าธุรกิจที่ไม่ได้ทำ Blog ถึง 3.5 เท่า และยังสร้าง Leads ได้มากกว่า 4.5 เท่าอีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่น Mandala AI. ที่เป็นแพลตฟอร์มสำหรับ Social listening และ Social monitoring ก็มีการสร้างบล็อกเพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ตัวสินค้าหลักและสร้างประโยชน์ให้แก่กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการตลาดรวมไปถึงขั้นตอนการใช้เครื่องมือของ Mandala AI. อีกด้วย
2. การทำ Search Engine Optimization (SEO)
การทำ SEO ก็ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมาก เพราะโดยปกติแล้วผู้คนมากกว่า 80% มักจะทำการรีเสิร์ชก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า ซึ่งหากแบรนด์สามารถผลิตคอนเทนต์ หรือแม้แต่การสร้าง Blog ที่เราได้ทำความรู้จักกันไปข้างต้น และใส่ Keyword ที่เป็นที่นิยมลงไปในองค์ประกอบต่าง ๆ ของ SEO อย่าง Title tags, Meta description, Heading tags, Contents, และ Alt tags เป็นต้น ก็จะช่วยให้คอนเทนต์หรือ Blog ของแบรนด์ติดแรงค์ในการเสิร์ช และสามารถดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายกดคลิกเพื่อเข้าเยี่ยมชมเนื้อหานั้น ๆ เพราะเป็น Keyword เดียวกันกับสิ่งที่พวกเขาต้องการศึกษา
ยกตัวเช่น หากผู้คนต้องการจะหาความรู้เกี่ยวกับการเป็น Influencer แล้วลองเสิร์ชคำว่า ‘อินฟลูเอ็นเซอร์’ ผลลัพธ์ที่พวกเขาได้ก็จะพบกับ Blog ที่สร้างโดยทีม Mandala ซึ่งนี่ก็เป็นการสร้างโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแบรนด์ Mandala ได้ เพราะผู้คนมักจะกดเข้าชมลิงก์แรกจากการเสิร์ชมากถึง 28.5% นั่นเอง
3. Infographic
แม้ว่าการเขียน Blog ที่มีการสรุปสาระอย่างครบถ้วนนั้นเป็นการสร้างชิ้นงานที่มีประโยชนน์ให้กับกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก แต่ในบ้างครั้งพวกเขาก็อาจจะไม่ได้มีเวลามากพอในการมานั่งอ่านเนื้อหาเหล่านั้น Infographic จึงเป็นอีกหนึ่งรูปแบบของคอนเทนต์ที่มีประสิทธิภาพในการทำ Inbound Marketing เพราะผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว มากไปกว่านั้น ยังมีข้อมูลจาก SearchLogistics ที่ระบุไว้อีกว่า โพสต์ที่มีรูปภาพประกอบสามารถกระตุ้นยอด Engagement ได้มากถึง 65% และดึงดูดให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะอ่านคอนเทนต์นั้น ๆ ได้มากกว่าบทความยาว ๆถึง 30 เท่า ทั้งนี้ การทำ Infographic สามารถนำไปปรับใช้ได้ทั้งใน Blog หรือแม้แต่คอนเทนต์สำหรับ Social media marketing บน Facebook, Instagram, Twitter, และอื่น ๆ ได้อีกด้วย
ยกตัวอย่างเช่นทีม Mandala สามารถสร้างโพสต์ให้ความรู้เรื่องการทำงานของฟังก์ชัน Insight Analytics ให้กับลูกค้า เพื่อให้พวกเขาทำความเข้าใจโดยง่ายและได้ข้อมูลที่ครบถ้วนในเวลาอันสั้นได้ ผ่าน Infographic ตามตัวอย่างด้านล่างนี้
4. Short-from Video
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวิดีโอแบบสั้นนั้นกำลังเป็นรูปแบบคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างโดยเฉพาะบนแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram โดยปกติแล้ววิดีโอแบบสั้นนั้นจะมีความยาวอยู่ที่ 30 วินาทีถึง 2 นาที ซึ่งถือเป็นความยาวที่อยู่ในช่วงที่ดึงดูดคนดูได้และง่ายต่อการแชร์ จากสถิติพบว่า ลูกค้ามากถึง 76% มีความชื่นชอบในการรับชมวิดีโอแบบสั้นในการทำการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวสินค้า
เนื้อหาของคลิปวิดีโอสั้นสามารถเป็นได้ทั้งแนวให้ความรู้, สอน How-to, ให้ความบันเทิง, สร้าง Brand awareness และกระตุ้น Traffic ไปยังหน้าเว็บของแบรนด์ได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของแคมเปญของแบรนด์
ยกตัวอย่างการใช้ Short-form Video สำหรับคอนเทนต์ใน Inbound Marketing
5. Podcast
พอดแคสต์ถือเป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่สนใจในหัวข้อหนึ่ง ๆ ได้ เพราะการทำพอดแคสต์นั้นเปรียบเหมือนการเล่าเรื่องราว แถมยังสามารถกระตุ้นให้ผู้ฟังสนใจฟังจากการสื่อสารกับอีกฝ่ายที่เป็นแขกรับเชิญ อย่างเช่นการถกประเด็นตามหัวข้อ การแชร์ประสบการณ์ส่วนตัว แม้จะมีความยาวของคลิปเสียง (หรือบางแบรนด์ที่ทำพอดแคสต์ในรูปแบบวิดีโอ) แต่ก็ยังสามารถดึงให้ผู้ฟังฟังต่อจนจบได้
นอกจากนี้การทำพอดแคสต์ยังช่วยให้แบรนด์เป็นที่จดจำได้ ผ่านบุคลิคภาพของผู้พูดที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์ แถมยังสามารถทำให้กลุ่มเป้าหมายคุ้นเคยและมองว่าพอดแคสต์ของแบรนด์เป็นแหล่งความรู้ที่ดีอีกแหล่งในอุตสาหกรรมนั้น ๆได้อีกด้วย
Inbound Marketing ช่วยคุณทำการตลาดได้อย่างไรบ้าง
1. ช่วยให้การลงทุนของแบรนด์มีประสิทธิภาพสูงสุด: หลักการ Inbound Marketing ช่วยให้แบรนด์ประหยัดงบประมาณได้มากขึ้น หากเทียบกับการตลาดแบบ Outbound ที่เป็นการใช้ Paid ads ไปยังกลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการยิงโฆษณาแต่ละชิ้นถือว่ามีราคาที่ค่อนข้างสูงหากเทียบกับผลลัพธ์และความคุ้มค่าที่ได้กลับมา
2. สร้างชื่อเสียงที่ดีให้กับแบรนด์: ทุกรูปแบบของการสื่อสารแบรนด์ในกลยุทธ์ Inbound Marketing นั้นช่วยให้แบรนด์มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นได้ เพราะทุกเนื้อหาของแบรนด์เน้นถึงการสร้างคุณค่าและใส่ใจในสิ่งกลุ่มเป้าหมายมีความสนใจ นอกจากนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือในอุตสาหกรรมนั้น ๆ อีกด้วย
3. ตามพฤติกรรมผู้บริโภคได้ทันเสมอ: เพราะการทำ Inbound Marketing คือการให้ความสำคัญกับลูกค้า นั่นหมายความว่าแบรนด์ต้องทำการรีเสิร์ชและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายอยู่เสมอ เพื่อที่จะสามารถสื่อสารให้ตรงใจพวกเขาได้
ซึ่งผลพลอยได้ตรงนี้คือ ทำให้แบรนด์รู้ได้ว่าพฤติกรรมของพวกเขากำลังเปลี่ยนไปหรือไม่ หรือเปลี่ยนไปสนใจในหัวข้อไหนมากขึ้น และสุดท้ายแล้วแบรนด์ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลส่วนนี้ไปปรับแผนการตลาดของธุรกิจตนเองได้อย่างเหมาะสม
4. ช่วยให้แบรนด์ติดแรงค์ SEO: เพราะ Inbound Marketing เน้นไปที่การสื่อสารแบรนด์ผ่านเนื้อหาต่าง ๆ หากแบรนด์สามารถผลิตคอนเทนต์โดยใช้คำหรือประโยคที่มักถูกค้นหาบ่อย ๆ ลงไปในเนื้อหานั้น ๆ ก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการเป็นที่พบเห็นมากขึ้นจากการเสิร์ชของกลุ่มเป้าหมาย เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า โดยปกติผู้คนมักจะทำการค้นหาข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินซื้อสินค้าหรือบริการหนึ่ง ๆ อยู่แล้ว
5. แบรนด์ของคุณจะโดดเด่นกว่าคู่แข่ง: เพราะการทำ Inbound Marketing ถือเป็นการสร้างอัฒลักษณ์ให้กับแบรนด์ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจในอุตสาหกรรมไหน แม้หัวข้อของคอนเทนต์อาจจะมีโอกาสใกล้เคียงกันคู่แข่ง แต่เนื้อหา แนวทางการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย การใช้ภาษา Mood และ Tone รวมถึงการใส่ Hashtag ในแต่ละโพสต์จะทำให้แบรนด์มีความโดดเด่นกว่าแบรนด์คู่แข่งได้
คุณเห็นความสำคัญของ Inbound Marketing แล้วรึยัง
Inbound Marketing ถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมายและรักษาฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหากนำรูปแบบต่าง ๆ ของ Inbound Marketing ที่เราได้ทำความเข้าใจกันไปข้างต้น ทั้ง Blog, SEO, Infographic, Short-form video, และ Podcast ไปปรับใช้กับคอนเทนต์และการสื่อสารแบรนด์ของธุรกิจคุณด้วยนั้น ธุรกิจก็สามารถสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ให้โดดเด่นได้อีกด้วย Inbound Marketing ในตอนนี้นั้นไม่ถือว่าเป็นตัวเลือกทางการตลาดแล้ว แต่ถือว่าเป็นกลยุทธ์ที่จำเป็นอย่างยิ่งในการทำการตลาดในยุค 2024