Social Media MarketingSocial ListeningFacebook MarketingInstagram MarketingTikTok Marketing
ติดต่อเรา

ส่อง 8 เทรนด์การตลาดออนไลน์รู้ไว้ทันคู่แข่งแน่นอน

ส่อง 8 เทรนด์การตลาดออนไลน์รู้ไว้ทันคู่แข่งแน่นอน

ยอดผู้ใช้งาน Social media ทั่วโลกในทุกวันนี้มีมากถึง 4.9 พันล้านบัญชี แถมยังมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นถึง 5.85 พันล้านภายในอีก 4 ปีข้างหน้า นี่เป็นสิ่งที่ยืนยันให้แบรนด์และธุรกิจได้แล้วว่า การทำการตลาดออนไลน์ (Digital marketing) เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากเพราะเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงลูกค้าและสร้างยอดขายให้กับธุรกิจ

หนำซ้ำ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญ การเติบโตแลการเปลี่ยนแปลงของของโลก Digital marketing รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นหากแบรนด์ไม่อยากรั้งท้ายคู่แข่ง เจ้าของธุรกิจและเหล่านักการตลาดต้องมีวิธีการสื่อสารของแบรนด์ให้ทันกับกระแสอยู่เสมอวันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับ 8 เทรนด์การตลาดออนไลน์ในยุค 2023 เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับแผนการตลาดของคุณได้อย่างมีหลักการและเข้าถึงใจผู้บริโภคได้ในเสี้ยววินาที

ประโยชน์ของการตลาดออนไลน์

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าจำนวนผู้ใช้ social media นั้นมีอยู่มากและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับเจ้าของธุรกิจและนักการตลาดแล้วนั้น การสื่อสารแบรนด์บนโลกออนไลน์ถือเป็นวิธีเดียวที่เหมาะสมที่สุดแล้วในยุคนี้ เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่าการตลาดออนไลน์นั้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง ทำไมจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจในทุกวันนี้

1. วางกลยุทธ์ทางการตลาดได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย

การสื่อสารระหว่างผู้ใช้ด้วยกันเองบนโลกออนไลน์นั้นถือเป็นเรื่องที่ง่ายและรวดเร็ว แบรนด์สามารถใช้ประโยชน์จากการสื่อสารไร้พรมแดนนี้ในการเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น นั่นหมายความว่าแบรนด์ก็สามารถสื่อสารกับคนเฉพาะกลุ่มได้ด้วยเช่นกัน มากไปกว่านั้นในหลาย ๆ แพลตฟอร์มก็มีเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์สามารถส่งสารไปยังกลุ่มคนเฉพาะกลุ่มผ่านการใช้ตัวกรองอย่าง เพศ อายุ สถานที่ อาชีพ ได้อีกด้วย ถือเป็นการกระจายสินค้าและบริการได้อย่างตรงจุดและตรงต่อความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี 

2. เพิ่ม Brand loyalty ของลูกค้า

Brand loyalty หรือความภักดีของลูกค้าที่มีต่อแบรนด์นั้นเกิดจากการที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีร่วมกับตัวแบรนด์ ซึ่งทุกวันนี้ Social media ก็เอื้อประโยชน์ให้กับแบรนด์ได้อย่างมาก เพราะแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ถือเป็นพื้นที่ที่แบรนด์สามารถมีส่วนร่วมกับกลุ่มผู้ใช้อย่างสะดวกและสามารถนำ Feedback ของลูกค้าไปปรับใช้กับกลยุทธ์ทางการตลาดได้ เพราะลูกค้าเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ หากธุรกิจของคุณมี Brand loyalty ที่เหนียวแน่น ก็สามารถเพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำของลูกค้า การบอกต่อแบรนด์ให้กับคนรู้จัก ซึ่งส่งผลให้เกิดยอดขายที่ต่อเนื่องได้ในอนาคต

3.สร้าง Conversion rate

Conversion rate คืออัตราในการเข้าชมแบรนด์จนเกิดการซื้อสินค้าและบริการ โดยปกติแล้วนั้นไม่ใช่ว่าผู้ที่เห็นโฆษณาของแบรนด์จะกดซื้อสินค้ากันทุกคน การทำ Digital marketing สามารถเพิ่ม Conversion rate ได้ด้วยการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อให้กับกลุ่มเป้าหมายอย่างเช่น สร้างความเสถียรและความเร็วในการดาวน์โหลดที่หน้า website ของแบรนด์, สร้างหน้าเว็บที่เข้าถึงได้ทั้งบนเดสก์ทอปและมือถือ, มีปุ่ม Call to action เพื่อกระตุ้นการซื้อให้สะดวกมากขึ้น เป็นต้น

4. แบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น

ผู้ใช้บนโลกออนไลน์นั้นมีอิทธิอย่างมากในการกำหนดภาพลักษณ์ของแบรนด์ อย่างที่เราเห็นได้บ่อยบน social media หากมีเสียงตอบรับเกี่ยวกับแบรนด์ไปทางที่ดี อย่างเช่นการรีวิวจากผู้ใช้จริง กล่าวถึงสินค้าของแบรนด์ว่าใช้แล้วเห็นผลจริง แบรนด์ก็จะได้ทั้งภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือเพิ่มขึ้น เพราะผู้คนสามารถส่งต่อโพสต์นั้น ๆ ไปสู่หน้า feed ของผู้ใช้คนอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย

mandala banner

8 เทรนด์การตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน

หลังจากที่เราได้รู้แล้วว่าการตลาดออนไลน์นั้นมีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจอย่างไร วันนี้บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทรนด์ Digital marketing ในปัจจุบัน เพื่อให้คุณนำไปใช้กับแผนการตลาดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

1. Short Video

ในตอนนี้คงไม่มีธุรกิจไหนไม่รู้จักกับเทรนด์ Short video หรือวิดีโอแบบสั้น ซึ่งผู้บุกเบิกเทรนด์ก็คือแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ที่ปลุกความนิยมของวิดีโอสั้นในช่วงของ Covid-19 ระลอกแรก ๆ สาเหตุมาจากการแสดงผลของ TikTok นั้นจะอยู่ในแนวตั้งซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้สมาร์ทโฟน และแม้จะมีข้อจำกัดของแพลตฟอร์มที่อนุญาติให้ผู้ใช้โพสต์วิดีโอที่มีความยาวได้ไม่เกิน 3 นาที ทำให้เหล่าครีเอเตอร์บน TikTok นั้นต้องผลิตเนื้อหาที่เข้าใจง่ายและกระชับมากที่สุด แต่เพราะข้อจำกัดนี้ กลับกลายเป็นสิ่งที่ผู้ชมต้องการเสพย์มากที่สุดเพราะไม่ต้องการเสียเวลา และได้ความบันเทิงโดยง่าย

และนอกจาก TikTok แล้ว ตอนนี้ก็มีแพลตฟอร์มสำหรับวิดีโอสั้นอย่าง Instagram Reel หรือแม้แต่แพลตฟอร์มวิดีโอที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเมื่อก่อนอย่าง YouTube ก็มี YouTube Shorts แล้ว ทำให้เราเห็นได้ชัดเลยว่าเทรนด์ Short video นั้นกำลังได้รับความนิยมอย่างมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในสถานการณ์การตลาดในปัจจุบันนั้น เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดหันมาให้ความสนใจ หากลองวิเคราะห์สถิติบนแพลตฟอร์มวิดีโอแบบสั้นที่ได้รับความนิยมที่สุดในตอนนี้ จำนวนผู้ใช้ที่เข้าถึงโฆษณาบน TikTok นั้นอยู่ที่ 17.9% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต หรือมีมากถึง 885 ล้านบัญชีเลยทีเดียว ชี้ให้เห็นได้ชัดเลยว่า หากไม่นำเทรนด์นี้มาปรับใช้กับการตลาดของแบรนด์คุณ คุณอาจตามคู่แข่งของคุณไม่ทันแน่

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: อย่างที่ได้กล่าวไปว่าการทำ Short video นั้นมีข้อจำกัดในเรื่องความของยาวคลิป ดังนั้นการนำเทรนด์นี้ไปปรับใช้กับการตลาดของแบรนด์คุณ จะต้องมีเนื้อหาที่สามารถดึงดูดผู้ชมได้ตั้งแต่วินาทีแรก ๆ แต่ทั้งนี้ก็ยังต้องสร้างเนื้อหาและรูปแบบให้สอดคล้องกับอัฒลักษณ์ของแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย เพราะลูกค้าจะเข้าถึงแบรนด์ได้ก็ต่อเมื่อสิ่งนั้นตอบโจทย์พวกเขา 

2.  Influencer Marketing

แม้จะดูเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เราเห็นกันมาอยู่บ้างตามสื่อออนไลน์ต่าง ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า วิธีนี้ก็ยังเป็นเทรนด์ทางการขายออนไลน์อยู่ 

Influencer marketing คือ การใช้ Influencer เข้ามาช่วยโปรโมทสินค้าและบริการของแบรนด์ การบอกต่อจากผู้ใช้จริงที่นั้นมีอิทธิต่อกลุ่มเป้าหมายอย่างมาก เพราะ Influencer คือบุคคลที่มีฐานผู้ติดตามจำนวนหนึ่งอยู่แล้ว ช่วยให้แบรนด์ของคุณเป็นที่พบเห็นได้กว้างและไวขึ้นอย่างมาก ทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้ง Macro influencer, Micro influencer หรือ Nano influencer ขึ้นอยู่กับงบของแคมเปญของคุณ

Influencer marketing นั้นมีประโยชน์กับแบรนด์ของคุณอย่างมาก เพราะหากมองจากสถิติของกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีกันมากที่สุด หรือก็คือกลุ่ม Gen Z และ Millennials พบว่า 50% ของเหล่า Millennials และ 33% ของกลุ่ม Gen Z เชื่อในการบอกต่อของ Influencer และกลุ่ม Gen Z เป็นกลุ่มที่มักจะซื้อสินค้าจากการบอกต่อนั้น

ทุกวันนี้เหล่านักการตลาดต่างเริ่มใช้ Influencer marketing ในการสื่อสารแบรนด์กันมากขึ้นถึง 89% ดังนั้นหากแบรนด์ของคุณมีสินค้าใหม่หรือเป็นแบรนด์ที่เพิ่งเริ่มธุรกิจ การใช้ Influencer marketing ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพในการสร้าง Awareness ให้กับแบรนด์ของคุณได้

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: นอกเหนือจากการเลือก Influencer ให้เหมาะสมกับสินค้าของแบรนด์แล้ว การทำ Influencer marketing นั้นสามารถทำได้ตั้งแต่ให้เหล่า Influencer โพสต์รูปสินค้า อัดคลิปรีวิวลงที่หน้าเพจของตัวเอง หรือใช้ประโยชน์จาก Feature บนสื่อออนไลน์อย่างการ Live เพื่อโปรโมทแบรนด์และสร้างสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยเช่นกัน 

3. Affiliate marketing

Affiliate marketing

Affiliate marketing เป็นรูปแบบของการตลาดที่นำสินค้าหรือบริการของแบรนด์มาโปรโมทผ่านบุคคลที่สาม ซึ่งมีผู้ที่เกี่ยวข้องกันอยู่ 3 กลุ่ม ในการทำการตลาดรูปแบบนี้ ดังนี้

  1. Advertiser: ผู้ที่ต้องการทำการโฆษณาสินค้าหรือแบรนด์ 
  2. Affiliate: บุคคลที่สาม สามารถเป็นได้ทั้งเจ้าของสื่อ เจ้าของช่อง หรือเจ้าของแพลตฟอร์ม
  3. Customer: ลูกค้า 

โดยหลักการการทำงานของ Affiliate marketing คือ แบรนด์จะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับ Affiliate หลังจากมีการซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงค์ที่ได้รับการโปรโมท ซึ่ง Affiliate นั้นสามารถเป็นได้ทั้ง KOL หรือ Influencer แม้แต่เหล่าผู้ใช้ Social media ทั่วไปก็สามารถเป็น Affiliate ได้ด้วยเช่นกัน

โดยหลักการการทำงานของ Affiliate marketing คือ แบรนด์จะต้องจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้กับ Affiliate หลังจากมีการซื้อสินค้าหรือบริการจากลิงค์ที่ได้รับการโปรโมท ซึ่ง Affiliate นั้นสามารถเป็นได้ทั้ง KOL หรือ Influencer แม้แต่เหล่าผู้ใช้ Social media ทั่วไปก็สามารถเป็น Affiliate ได้ด้วยเช่นกัน

หากพูดมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจสงสัยว่าแล้ว Affiliate marketing และ Influencer marketing ต่างกันอย่างไร ? คำตอบคือ Affiliate ที่มาทำการโปรโมทให้แบรนด์นั้น นอกจากจะต้องคำนึงถึงการผลิตคอนเทนต์แล้ว ยังต้องคำนึงถึงการสร้างยอดขายด้วย เพราะเม็ดเงินจากการทำตลาดรูปแบบนี้ จะเกิดขึ้นหลังจากมีการซื้อขายผ่านลิงค์ Affiliate แล้วเท่านั้น

Affiliate marketing ที่เราพบเห็นได้มากที่สุดทุกวันนี้ คือตะกร้าเหลืองใน TikTok Shop ที่เหล่า Affiliate มาป้ายยาบอกต่อสินค้าน่าใช้พร้อมทั้งแนบลิงค์ให้ผู้ชมกดซื้อสินค้าได้อย่างง่ายดาย และนอกจาก TikTok แล้ว ตอนนี้หลาย ๆ แพลตฟอร์มก็ได้เพิ่ม Affiliate Program เข้ามาบนช่องทางของตัวเองด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็น Shopee, Lazada, Agoda, Priceza, Canva, Accesstrade, Involve Asia เป็นต้น

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: อย่างที่กล่าวไปว่าการทำ Affiliate marketing นั้นมีหลักการที่คล้ายคลึงกับ Influencer marketing คือการเลือก Affiliate นั้นต้องสอดคล้องกับตัวสินค้าและอัฒลักษณ์ของแบรนด์ และหากแบรนด์ไหนที่สามารถนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำ Affiliate marketing ด้วยแล้วนั้นก็จะยิ่งสามารถเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย นำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจ พัฒนาสินค้า ตลอดจนสร้างยอดขายจำนวนมากได้อีกด้วย

4. Chatbot

เทคโนโลยี chatbot นั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจมาอย่างต่อเนื่อง และยังมีการพัฒนาความสามารถของโปรแกรมมาเรื่อย ๆ โดยใช้วิธีการที่หลากหลาย เช่น ใช้ศักยภาพของ AI ในการเรียนรู้แบบเชิงลึก (Deep learning) หรือประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) เพื่อให้เข้าใจและตอบคำถามของผู้ใช้ได้มีอย่างฉลาดมากขึ้น

ทุกวันนี้หลาย ๆ แบรนด์ต่างนำ Chatbot เข้ามาช่วยในการทำธุรกิจกันมากขึ้นและยังมีแนวโน้มจะถูกใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในปี  2017 เพราะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการตอบคำถามของลูกค้า แก้ปัญหาพื้นฐาน และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ตลอด 24/7 โดยไม่จำเป็นต้องมีคนพร้อมให้บริการตลอดเวลา สามารถสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้ถึง 87.2% เพราะพวกเขาสามารถได้คำตอบที่รวดเร็ว

ยกตัวอย่างธุรกิจร้านกาแฟที่เรารู้จักกันดีอย่าง Starbucks เอง ก็ได้ Chatbot มาใช้ในชื่อ My Starbucks Barista ที่ให้ลูกค้าสามารถสั่งเครื่องดื่มพร้อมชำระเงินได้เลย นั่นหมายความว่า ลูกค้าสามารถเดินเข้าไปที่ร้านโดยที่เมนูที่สั่งนั้นพร้อมเสิร์ฟแล้วเรียบร้อย ถือว่าสร้างความสะดวกให้แก่ลูกค้าได้อย่างมาก

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: การนำ Chatbot เข้ามาช่วยในการทำธุรกิจนั้นถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะหากแบรนด์สามารถพัฒนา Chabot ให้มีความฉลาดมากขึ้นและนำมาช่วยงานในด้านอื่น ๆ ได้ นอกจากการตอบคำถามลูกค้า เช่นการทำ Chatbot payment ที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวกขึ้น หรือแม้แต่การนำบทสนทนาของ Chatbot กับลูกค้ามาวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำไปปรับใช้กับแผนการตลาดในอนาคตได้ดีขึ้นอีกด้วย

5. SEO (Search Engine Optimize)

SEO นั้นถือเป็นอีกกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา เพราะพฤติกรรมของผู้บริโภคนั้นเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Search Engine เองต้องมีการอัพเดท Algorithm อยู่เสมอ 


หลักการโดยพื้นฐานของการทำ SEO  นั้นคือการผลิตคอนเทนต์ของแบรนด์ให้ขึ้นไปอยู่ในหน้า search อันดับต้นๆ เพื่อให้แบรนด์ได้รับการมองเห็นมากที่สุดนั่นเอง เพราะ 95% ของผู้คนมักจะคลิกที่ website ในหน้าแรกมากกว่าหน้าอื่น ๆ

และทุกวันนี้ที่เทคโนโลยียังคงถูกพัฒนามาเรื่อย ๆ การทำ SEO ก็มีความก้าวหน้ามากขึ้นเช่นกัน หากเทียบกับเมื่อก่อน เวลาที่เราต้องการค้นหาข้อมูล ผลลัพธ์ที่ได้มักจะมาในรูปแบบตัวหนังสือหรือรูปภาพ และหากมองในมุมของการเป็นผู้เสิร์ช เราสามารถค้นหาผ่านการพิมพ์เท่านั้น แต่ตอนนี้เทคโนโลยีพาได้สร้างความสะดวกให้ผู้ใช้มากไปอีกขั้น อย่างเช่น MUM (Multitask Unified Model) Algorithm จาก Google ที่มาพร้อมการแปลภาษาอัตโนมัติมี รองรับการค้นหาด้วยเสียง (Voice Search) และการค้นหาด้วยภาพ (Google Lens) ทำให้การค้นหาของผู้ใช้ง่ายและได้ข้อมูลตรงประเด็นมากขึ้น

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: ในมุมของแบรนด์ หากคุณต้องการให้คอนเทนต์ของธุรกิจติดอันดับการค้นหาต้น ๆ สิ่งสำคัญคือต้องคอยอัพเดทข้อมูลและพฤติกรรมผู้บริโภคเสมอ นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงการใช้ คำ ภาษา และ Alt-text ในรูปภาพและวิดีโอของคอนเทนต์นั้น ๆ พร้อมกับสร้างเนื้อหาที่มีความเป็นธรรมชาติ มีทั้งการสร้างคำถามและคำตอบ เพื่อรองรับ Voice search  เพียงเท่านี้ก็เพิ่มโอกาสในการดันคอนเทนต์ของแบรนด์ให้พบเห็นได้มากขึ้นและสามารถเพิ่มยอดขายตามมาได้อีกด้วย

6. Omnichannel Marketing

omni channel

Omni Channel เป็นการทำการตลาดที่ให้กลุ่มเป้าหมายสามารถติดต่อกับแบรนด์ได้หลายทางผ่านการเชื่อมช่องทางต่าง ๆ ไว้ในที่เดียว นั่นหมายความว่าลูกค้าสามารถสอบถามข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์แต่สั่งซื้อสินค้าที่หน้าร้านได้ หรือแม้แต่ สั่งซื้อสินค้าออนไลน์แต่ขอรับสินค้าที่สาขาใกล้บ้านแทนการจัดส่งได้ด้วยเช่นกัน 

กลยุทธ์การตลาดไร้รอยต่อแบบนี้จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าได้เพราะเป็นการเอื้ออำนวยความสะดวกในการศึกษาข้อมูลสินค้าและซื้อสินค้าให้แก่พวกเขาได้อย่างมาก หากเปรียบเทียบกับการตลาดแบบเมื่อก่อนที่มีเพียงแค่ การขายที่หน้าร้านอย่างเดียว (Single channel) หรือการขาย Multi channel ที่มีทั้งออนไลน์และออฟไลน์แต่ข้อมูลนั้นไม่เชื่อมโยงถึงกัน อาจสร้างความน่ารำคาญใจให้แก่ลูกค้าในการข้ามแพลตฟอร์มไปมาได้ แน่นอนว่าใคร ๆ ก็ต้องพึงพอใจกับสิ่งที่สะดวกและว่องไวมากกว่า

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: การสร้างระบบซื้อขายแบบครบวงจร ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในทุกวันนี้ได้อย่างดี แบรนด์ที่ทำ Omni channel marketing นั้นนอกจากจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้าแล้ว แบรนด์ก็ยังสามารถนำข้อมูลพฤติกรรมการซื้อที่เกิดขึ้นในระบบ มาวิเคราะห์ต่อและปรับใช้กับแผนการตลาด วิธีการสื่อสารของแบรนด์ให้ตรงใจลูกค้าได้มากที่สุดอีกด้วย ทั้งนี้แบรนด์ควรคำนึงด้วยว่าธุรกิจของคุณนั้นมีความพร้อมมากแค่ไหน เพราะการสร้างระบบที่เสถียรนั้นอาจต้องมีการลงทุนจำนวนหนึ่ง

7. Email Marketing

หลายคนตั้งคำถามมื่อได้อ่านหัวข้อนี้ ในยุคที่ผู้คนใช้สื่อออนไลน์กันเป็นส่วนใหญ่ Email marketing นั้นมีความสำคัญจริงหรือ 

การทำ Email marketing หรือการทำการตลาดทางอีเมลล์ ที่สามารถสร้างยอดขายได้ โดยเฉพาะกับกลุ่มลูกค้าที่เคยซื้อสินค้าหรือบริการของแบรนด์ Email marketing สามารถทำให้ลูกค้าเหล่านั้นกลับมาซื้อซ้ำได้ ด้วยการส่งข่าวสาร promotion คูปองส่วนลด สินค้ามาใหม่ ผ่านทางอีเมลล์ที่ลูกค้าได้ลงทะเบียนกับแบรนด์ไว้  ซึ่งการทำการตลาดทางอีเมลล์นั้น ไม่ใช่แค่เพียงการส่งข้อความแบบเดียวกันทั้งหมดให้ลูกค้า แต่ต้องเป็นการคัดสรรข่าวสารเกี่ยวกับแบรนด์ที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะสนใจโดยอิงจากพฤติกรรมการซื้อของพวกเขา นอกจากนี้ควรเป็นการส่งอีเมลส่วนบุคคลที่มีการระบุชื่อลูกค้าเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจว่าข้อความหรือข่าวสารนั้น ๆ คัดมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ

email stats
Source: www.emailtooltester.com

การทำ Email marketing นั้นถือว่าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการทำการตลาดออนไลน์ หากวิเคราะห์ข้อมูลจาก EmailToolTester พบว่า 59% ของการทำการตลาดด้วยอีเมลล์ มีส่วนช่วยในการตัดสินใจซื้อของลูกค้ามากขึ้น และ 50% ของผู้บริโภคเผยว่า พวกเขาซื้อสินค้าจากการทำการตลาดอีเมลล์ อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือน

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: นักการตลาดหรือเจ้าของธุรกิจสามารถนำกลวิธีนี้ไปใช้ต่อได้โดยต้องคำนึงถึงเนื้อหา ภาษา การตั้งชื่อหัวข้อให้น่าสนใจและเฉพาะตัวสำหรับลูกค้าคนนั้น ๆ สิ่งสำคัญคือภาษาที่ใช้ที่ต้องไม่ดูเป็นการส่งข้อความอัตโนมัติมากเกินไป เพราะไม่อย่างนั้นก็มีสิทธิ์ที่ผู้ได้รับอีเมลล์จะไม่เปิดอ่าน นอกจากนี้หากมีปุ่ม Call to action ในการเข้าชมสินค้า หรือกดสั่งซื้อได้อย่างง่ายดายไว้ให้ลูกค้าด้วย ก็สามารถสร้างความสะดวกและโอกาสในการขายสินค้าได้เช่นกัน Email marketing ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเข้ามาช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการทำการตลาดออนไลน์ให้ประสิทธิภาพมากขึ้น

8. MarTech Trends

อย่างที่ได้กล่าวไปว่าทุกวันนี้การเติบโตของเทคโนโลยีนั้นก้าวกระโดดเป็นอย่างมากและมีแนวโน้มที่จะถูกพัฒนาเรื่อย ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ MarTech นั้นมีบทบาทสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ 

Marketing Technology หรือ Martech คือ การทำการตลาดโดยโดยการใช้ แพลตฟอร์ม ซอฟต์แวร์ โปรแกรม หรือเครื่องมือต่างๆ เข้ามาช่วยให้การทำการตลาดให้เป็นเรื่องที่ง่ายและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างของเครื่องมือ MarTech เช่น

  • Social listening เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มเป้าหมาย และนำข้อมูลไปปรับใช้ในแผนการตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคมากที่สุด 

ซึ่งทุกวันนี้ก็มี Social listening tools ที่หลากหลายให้เราได้เลือกใช้ แต่หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจที่ถูกใจในสาย Data Mandala AI. ถือว่าตอบโจทย์อย่างมากเพราะเป็นเครื่องมือที่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้หลากหลายแพลตฟอร์มในที่เดียวและยังสามารถนำไปใช้ในทางการตลาดได้ครบวงจรอีกด้วย

  • การใช้ Chatbot ที่เราได้ทำความรู้จักกันไปก่อนหน้านี้ เข้ามาช่วยในการตอบปัญหาเบื้องต้นของผู้ใช้ได้อย่างทันท่วงที
  • การทำคอนเทนต์ในรูปแบบ VR/AR หรือคอนเทนต์เสมือนจริงที่ช่วยให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ใหม่ ๆ นอกเหนือการดูรูปและวิดีโอแบบทั่วไป
  • โปรแกรมยิง Ads อัตโนมัติ ที่ตอนนี้หลาย ๆ แพลตฟอร์มก็มี Tools นี้เข้ามาช่วยให้แบรนด์ยิงโฆษณาไปสู่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด ผ่านตัวกรองเพศ อายุ สถานที่ อาชีพ 
  • Scheduling tools เครื่องมือที่ช่วยในการระบุวันเวลาในการโพสต์คอนเทนต์อัตโนมัติ
  • และอื่น ๆ 

ทุกวันนี้ธุรกิจต่างก็หันมาใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการทำการตลาดกันมากขึ้น จากสถิติพบว่าธุรกิจ B2B ลงทุนไปกับการใช้ MarTech เป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มจะมากถึง 228 พันล้านบาทภายในปีนี้ และยังมีโอกาสที่จะแตะ 290 พันล้านบาทภายในปี 2024 อีกด้วย

นำไปใช้ต่อได้อย่างไร: ธุรกิจสามารถนำ MarTech และเครื่องมือต่าง ๆ ไปปรับใช้การแผนการตลาดของแบรนด์ได้ตามความเหมาะสมโดยต้องคำนึงถึงสินค้าและบริการ กลุ่มเป้าหมาย งบประมาณในการลงทุนอยู่เสมอ นอกจากนี้ก็ยังควรต้องคอยอัพเดทเทคโนโลยีที่มาใหม่อีกด้วย เพราะธุรกิจที่ตามไม่ทันเทคโนโลยี ก็อาจทำให้แบรนด์ของคุณเดิมตามหลังคู่แข่งและเติบโตได้ช้า

mandala banner

เริ่มวางแผนการตลาดออนไลน์ของคุณให้ทันตามเทรนด์

และนี่คือ 8 เทรนด์การตลาดออนไลน์ที่ถือว่าเป็นกระแสหลักในปี 2023 นี้ แบรนด์สามารถเลือกสรรกลยุทธ์เหล่านี้ไปปรับใช้กับแผนการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยยังต้องคำนึงถึงความพร้อมในการลงทุน ไม่ควรคิดเพียงแต่ว่าต้องทำตามเทรนด์เท่านั้น แต่ทั้งนี้ก็ควรต้องคอยติดตามกระแสให้ทันตามนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงเสมอให้ทันท่วงที

  • หมวดหมู่ :
สมัครสมาชิกเนื้อหาการตลาดฟรีของเรา

เราจะส่ง Email เนื้อหาใหม่ให้คุณทุกสัปดาห์

This email is already subscribe.