เจาะลึก Marketing 6.0 การตลาดยุคใหม่ในวันที่ Marketing 4.0 อาจไม่เพียงพอ รู้จักวิธีการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและบริการ ยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ให้ดีกว่าเดิมด้วย AI รวมถึงตัวอย่างกรณีศึกษาที่สร้างรายได้ให้กับแบรนด์ดังระดับโลกมาแล้ว
รู้จักการตลาดแบบ Marketing 6.0 คืออะไร?
Marketing 6.0 เป็นการตลาดยุคใหม่ที่มุ่งเน้นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ผ่านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการปรับปรุงสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด รวมถึงสร้างความแปลกใหม่ให้กับกลยุทธ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแบรนด์เอง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในยุค Digital Transformation ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ทางการตลาดออกมามากมาย
รู้จักการตลาด 1.0 – 6.0
- การตลาด 1.0 > การตลาดแบบสินค้าเป็นศูนย์กลาง (Product – Centric Marketing) เน้นสินค้า การผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ และมีจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เช่น มีเรื่องราวที่น่าสนใจ หรือสามารถสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ได้เหนือคู่แข่งแม้เป็นสินค้าประเภทเดียวกัน
- การตลาด 2.0 > การตลาดแบบลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer – Centric Marketing) เน้นการตลาดและวิธีสื่อสาร รวมถึงน้ำเสียงและ Character ให้ตอบโจทย์ความชอบ และความต้องการของลูกค้าโดยใช้ข้อมูลที่มีอยู่ เช่น การทำคอนเทนต์ไลฟ์สไตล์ที่นอกเหนือจากการขาย การสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และการทำโฆษณาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล (Personalization)
- การตลาด 3.0 > การตลาดแบบสร้างมูลค่าให้ผู้คนในสังคม (Human – Centric Marketing) เน้นการสร้างคุณค่าอื่น ๆ นอกเหนือไปจากสินค้าและผู้บริโภค กล่าวคือแบรนด์ควรให้ความสำคัญกับสังคมโดยรวม เพื่อสร้างความรู้สึกร่วมกับลูกค้า ในฐานะคนในสังคมเดียวกัน เช่นการทำ CSR หรือการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงคุณค่าอื่น ๆ ของแบรนด์ นอกเหนือไปจากความชอบส่วนบุคคล หรือตัวสินค้า
- การตลาด 4.0 > การตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) เน้นการทำการตลาดบนช่องทางออนไลน์ รวมถึงโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และการทำงานร่วมกับ KOL เพื่อปรับตัวไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมเสพสื่อออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ (Gen Z- Alpha) เช่น การเปิดเพจบนโซเชียลแพลตฟอร์มต่าง ๆ E-commerce หรือการร่วมมือกับ KOL และ Blogger เพื่อทำคอนเทนต์รีวิว และให้คนมาร่วมแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์ร่วมกัน เป็นต้น
- การตลาด 5.0 > การตลาดผสานเทคโนโลยี (Tech-Human Marketing) เน้นการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี มอบความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และทุ่นแรงคนทำงานไปในเวลาเดียวกัน เช่น การทำ Chatbot การนำ AI มาช่วยแนะนำสินค้า ระบบ Feedback อัตโนมัติ ระบบเก็บและจัดการข้อมูล เป็นต้น
- การตลาด 6.0 > การตลาดแบบเสมือนจริง (Immersive Marketing) เป็นการเน้นการสร้างการตลาดแบบองค์รวม ให้ผู้ใช้งานสามารถสัมผัสสินค้าและบริการ ผ่านประสบการณ์เสมือนบนโลกดิจิทัล ด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสาน เพื่อให้เกิด Interactive Experience ในโลกเสมือนจริง ตัวอย่างเช่น การใช้เทคโนโลยี AR, VR หรือ Metaverse
จะเห็นได้ว่า การตลาด 6.0 หรือการตลาดแบบเสมือนจริง (Immersive Marketing) คือการใช้หลักการ Marketing 1.0-5.0 แบบบูรณาการ ดึงจุดเด่นของการตลาดแต่ละรูปแบบมาใช้ เพื่อสร้างประสบการณ์ร่วมกับแบรนด์ในแบบใหม่ในยุคปัจจุบัน
ไขทฤษฏี Marketing 6.0 รวมสิ่งที่นักการตลาดยุคใหม่ต้องรู้
Kotler เจ้าของหนังสือ Marketing 6.0 ชื่อดัง ได้แบ่ง Marketing 6.0 หรือ Immersive Marketing แบ่งเอาไว้เป็น 3 ระดับด้วยกัน ได้แก่
1. The Enabler หมายถึงเครื่องมือระดับพื้นฐานที่ธุรกิจต้องมี เพราะจะทำให้ธุรกิจต่างปรับตัวใช้ Marketing 6.0 ได้ ซึ่งประกอบไปด้วย
- IoT (Internet of Things) อุปกรณ์ เครือข่าย และเทคโนโลยีที่ช่วยในการเชื่อมต่อกับ Internet และระบบ Cloud ใช้ในการอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ และเก็บข้อมูลลูกค้า
- ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยในการประมวลผลข้อมูลมหาศาลในเวลาอันรวดเร็ว รวมถึงช่วยสร้างแบบจำลองทางธุรกิจ เพื่อนำไปต่อยอดเป็นกลยุทธ์ทางการตลาด หรือแบบจำลองเพื่อลดความเสี่ยง
- เทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (AR/VR) เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า เช่น การทดลองสินค้าเสมือนจริง หรือการสร้างประสบการณ์ช็อปปิ้งแบบเสมือนจริง ทำให้ลูกค้าใกล้ชิดกับสินค้าและบริการได้จากทุกที่ ขอเพียงมีอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
- บล็อกเชน (Blockchain) เทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความปลอดภัยและความโปร่งใสให้กับการเก็บข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นการทำธุรกรรมทางการเงิน การระบุตัวตน หรือ E-commerce ที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง
2. The Environment คือการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อกับการเข้าถึงสินค้าและบริการได้สะดวก รวดเร็ว และน่าสนใจที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแบบออฟไลน์หรือออนไลน์ ถือเป็นระดับที่ต่อยอดมาจาก The Enabler แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ได้แก่
- Extended Reality หมายถึงการเชื่อมประสบการณ์บนโลกออนไลน์และออฟไลน์เข้าไว้ด้วยกัน เช่น การชำระเงินแบบ Cashless การสร้างคำแนะนำในการเลือกซื้อสินค้าและบริการไปตามช่วงเวลาของวัน ระบบรางวัลสมาชิกที่เชื่อมกับฐานข้อมูลออนไลน์ หรือการติดตั้งเทคโนโลยีหน้าร้าน ที่ช่วยลูกค้าคำนวณงบประมาณ และให้คำแนะนำที่เหมาะสมก่อนตัดสินใจซื้อ
- Metaverse หรือโลกเสมือน มีองค์ประกอบย่อยมากมายเช่น ตัวตนเสมือน (Avatar) ทรัพย์สินเสมือน (Virtual Asset) ระบบเศรษฐกิจเสมือน (Virtual Economy) และกฏระเบียบควบคุมต่าง ๆ ซึ่งทั้งหมดมีจุดหมายคือการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ในโลกเสมือนจริงให้สมบูรณ์แบบ และใกล้ความเป็นจริงที่สุด
3. The Experience หรือการสร้างประสบการณ์ผู้ใช้เต็มรูปแบบใน Marketing 6.0 เป็นการบูรณาการของการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ เช่น
- Metaverse Marketing หรือการทำการตลาดบน Metaverse เช่นลูกค้าได้รับสินค้า รวมถึงส่วนลดบน Metaverse ในโลกความเป็นจริง (ออฟไลน์) ไปด้วย สามารถซื้อหน้าร้าน หรือร้านในโลกเสมือนจริงก็ไม่ต่างกัน
- Multisensory Marketing การตลาดที่กระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านประสบการณ์การใช้งานทั้งบนออนไลน์/ออฟไลน์ เพื่อให้เหมาะสมไปกับสถานการณ์ หรือความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง
- Spatial Marketing การตลาดที่แทรกความจริงเสมือนเข้ามาในโลกความเป็นจริงในระดับ Mass เช่นการใช้ AR/VR ตามท้องถนน หรือใกล้ย่านสำคัญ
ตัวอย่าง 3 แบรนด์ที่เริ่มการทำ Marketing 6.0 สร้างประสบการณ์แบบ Immersive
1. IKEA
IKEA เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังโดยเฉพาะในเรื่องการนำนวัตกรรมมาเสริมสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี โดย IKEA ได้มีการนำเทคโนโลยี AR มาช่วยจำลองการเลือกเฟอร์นิเจอร์ของลูกค้า เพื่อช่วยลดปัญหาความกังวลว่าเฟอร์นิเจอร์ที่ซื้อไปจะเข้ากันหรือไม่ หรือจัดวางได้ลงตัวกับพื้นที่ห้องหรือเปล่า ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้ง่าย และรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องไปถึงหน้าร้านก็ทดลองสินค้าได้เลย
2. L’Oréal
ลอรีอัล ผู้นำด้าน Beauty Tech ได้นำ AR เข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ในการลองลิปสติกเสมือน ช่วยให้ลูกค้าได้ลองสีบนใบหน้าตัวเองโดยไม่ต้องไปที่หน้าร้าน นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีแสกนใบหน้าเพื่อตรวจสอบสภาพผิวแบบออนไลน์ พร้อระบบ AI ในการช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อแก้ไขปัญหาผิวที่ระบบตรวจจับพบ
3. Gucci
แบรนด์หรูระดับโลก Gucci จับมือกับ Roblox แพลตฟอร์มเกม/Metaverse ในการสร้าง Metaverse Shop ของ Gucci ซึ่งอนุญาตให้ลูกค้าแต่งตัวตนเสมือน (Avatar) ของตัวเอง ด้วยเครื่องประดับและสินค้าของ Gucci ได้ นอกจากจะเป็นการสร้างประสบการณ์ใหม่ร่วมกับสินค้าแล้ว ยังเป็นการเสริมสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในฐานะผู้นำด้านความหรูหรา และเทคโนโลยีอีกด้วย
เตรียมพร้อมและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลง เพื่อก้าวสู่ Marketing 6.0
แม้ Marketing 6.0 จะดูเป็นเรื่องไกลตัว และมีต้นทุนที่ค่อนข้างสูง แต่ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ทำให้ค่าใช้จ่ายในการลงทุนถูกลง เช่น Generative AI ที่สามารถใช้งานได้ฟรี หรือการใช้แพลตฟอร์มข้อมูลต่าง ๆ ที่ให้บริการแบบ Freemium และมีค่าสมัครบริการต่อเดือนที่ถูกลงเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ทำให้บริษัทขนาด SME ก็สามารถปรับตัวกับ Marketing 6.0 ได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
Mandala AI ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยตอบโจทย์การตลาดยุคใหม่ โดยการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลมหาศาลบนโลกดิจิทัล และช่วยให้ผู้ประกอบการทุกขนาด สามารถวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับตลาดปัจจุบันได้มากขึ้น