ในยุคที่หันไปทางไหนก็เจอแต่ธุรกิจใหม่ๆ ที่ผุดขึ้นมาทุกวัน บางธุรกิจก็ปัง บางธุรกิจก็ไม่ได้เป็นที่จดจำมากนัก ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่าอะไรคือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจปัง? แน่นอนว่าคำตอบของนักการตลาดหลายคนคงไม่พ้น “Brand Marketing” ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้นักการตลาดสามารถพลิกให้ธุรกิจอยู่รอดท่ามกลางธุรกิจใหม่ๆ แต่จะทำ Brand Marketing อย่างไร? บทความนี้จะพาไปเรียนรู้กันทีละขั้นตอน !
Brand Marketing คืออะไร
Brand Marketing คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มผู้บริโภคด้วยการทำการตลาดวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา การสร้างแคมเปญ การโปรโมทสินค้า การประชาสัมพันธ์ และจัดกิจกรรมต่างๆ ทั้งบนช่องทางออนไลน์ และออฟไลน์ แล้วเราทำ Brand Marketing ไปเพื่ออะไร? จริงๆ Brand Marketing นั้นมีจุดประสงค์ที่หลากหลายแล้วแต่เป้าหมายของแแต่ละแบรนด์ ซึ่งโดยปกติแล้วแบรนด์จะมีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้ การมีส่วนร่วม และเปลี่ยนให้ลูกค้าทั่วไปกลายเป็น loyal customer นั่นเอง
ทำไม Brand Marketing ถึงสำคัญในปัจจุบัน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันเป็นยุคที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็วทำให้ผู้บริโภคมีช่องทางในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารมากขึ้นจึงสามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์และสินค้าหรือบริการต่างๆ ได้อย่างง่ายดายทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น และอาจใช้เวลานานขึ้นในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการเพราะต้องการสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ คุ้มค่า และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตนเอง Brand Marketing จึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จของธุรกิจโดยตรงเนื่องจากช่วยสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งและโดดเด่น สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง และดึงดูดความสนใจจากผู้บริโภคทั้งลูกค้าเก่าและใหม่
นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อธุรกิจในระยะยาว เนื่องจากแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีและมีชื่อเสียงย่อมมีมูลค่าสูง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดทางธุรกิจได้ เช่น การสร้างรายได้จากลิขสิทธิ์ หรือการขยายธุรกิจไปยังประเทศต่างๆ และในกรณีที่แบรนด์เป็นที่รู้จักดี ก็ไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณทางการตลาดสูงในการโปรโมตสินค้าหรือบริการ ดังนั้น ธุรกิจจึงควรให้ความสำคัญกับการตลาดเพื่อสร้างแบรนด์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในระยะยาว

จุดประสงค์การทำ Brand Marketing
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการทำ Brand Marketing นั้นมีจุดประสงค์ที่แตกต่างออกไปแล้วแต่แบรนด์ มาดูกันว่ามีจุดประสงค์อะไรบ้าง
1. เพื่อเพิ่มการรับรู้ของแบรนด์

เป้าหมายที่เป็นพื้นฐานของแบรนด์ต่างๆ ที่เพิ่งสร้างมาได้ไม่นาน และแบรนด์ที่ไม่ได้เป็นที่รู้จักมากนัก แน่นอนว่าต้องการให้แบรนด์ของตนเองเป็นที่รู้จัก ผู้บริโภคสามารถจดจำแบรนด์ได้ ซึ่งปกติแล้วแบรนด์จะทำโฆษณาเพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ใหม่ หรือการทำกิจกรรมการตลาดเพื่อสร้างกระแสให้ผู้บริโภคพูดถึงแบรนด์ เช่น แบรนด์เสื้อผ้าเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ โดยทำโฆษณาทางโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ และใช้ดาราชื่อดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักและจดจำแบรนด์ได้
ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ: กลยุทธ์การสร้าง Brand Awareness
2. เพื่อเพิ่มความพอใจของลูกค้า
เมื่อต้องการให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการใหม่อีกครั้ง หลายแบรนด์จึงเลือกที่จะสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและอยากกลับมาใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากแบรนด์อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้าและบริการ การบริการลูกค้าที่ดี และการจัดกิจกรรมที่มอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า เช่น ร้านอาหารให้ความสำคัญกับคุณภาพของวัตถุดิบ รสชาติของอาหาร และการบริการที่ดี เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและกลับมารับประทานอาหารที่ร้านอีกครั้ง
3. เพื่อพัฒนาชื่อเสียงของเเบรนด์
ในยุคที่กระแสบนโลกโซเชียลมีเดียเปรียบเสมือนสิ่งที่ชี้ชะตาแบรนด์ต่างๆ แบรนด์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นกระแสบนโลกออนไลน์ ถูกบอกต่อปากต่อปาก ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ในขณะที่แบรนด์ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักมักจะมียอดขายไม่สูงมากนัก เพราะฉะนั้นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ หมั่นดูแลไม่ให้แบรนด์มีชื่อเสียงในทางลบเป็นอีกทางที่จะทำให้ผู้บริโภคเชื่อถือและไว้วางใจแบรนด์ อย่างการมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมหรือชุมชน การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส และการให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม หรือที่รู้จักกันว่า CSR เช่น แบรนด์เครื่องสำอางมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมบริจาคเครื่องสำอางให้กับโรงพยาบาลหรือมูลนิธิ เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยหรือผู้ด้อยโอกาส เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจแบรนด์
4. เพิ่ม Market Share ของตลาด
การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์ในตลาด อาจทำได้โดยการออกสินค้าหรือบริการใหม่ๆ การขยายช่องทางการจัดจำหน่าย และการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขาย เช่น แบรนด์เครื่องดื่มน้ำอัดลมออกสินค้าใหม่ที่เป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคและเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ
5. สร้างกำไรเพิ่มขึ้น
อีกเป้าหมายที่แบรนด์ต่างก็อยากทำให้สำเร็จนั่นก็คือการเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจ โดยสามารถทำได้หลากหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลดต้นทุนการผลิต การขยายฐานลูกค้า และการเพิ่มราคาขาย เช่น POP MART แบรนด์ขายของเล่นลดต้นทุนการผลิตด้วยการลดขนาดของเล่นเพื่อให้ต้นทุนการผลิตลดลงและเพิ่มกำไรให้กับธุรกิจ อีกทั้งยังสามารถขายสินค้าให้ลูกค้าได้ในราคาที่ถูกลง
6 วิธีการทำ Brand Marketing ให้ประสบความสำเร็จ
1. กำหนดเป้าหมายของแบรนด์
แน่นอนว่าเป้าหมายของแต่ละแบรนด์นั้นแตกต่างกัน บางแบรนด์ที่เพิ่งสร้างขึ้นมาอาจจะต้องการให้แบรนด์ของตนเป็นที่รู้จัก ในขณะที่อีกแบรนด์ที่เก่าแก่ต้องการให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าซ้ำอีกครั้ง ดังนั้นการตั้งเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการให้ชัดเจนก่อนที่จะทำการตลาดนั้นเป็นสิ่งแรกที่ควรคำนึงถึง เพราะการมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณสามารถกำหนดกลยุทธ์ วิธีการในการไปถึงเป้าหมายนั้นได้ เป้าหมายที่ดีจะต้องมีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจนทั้งในเรื่องของระยะเวลาและตัววัดผลความสำเร็จ เช่น สร้างคอนเทนต์ที่สะท้อนวิสัยทัศของแบรนด์บนช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเน้นที่การสร้างความรับรู้ให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก ลูกค้ารู้ว่าแบรนด์ทำอะไร
2. ศึกษาตลาดของคู่แข่ง
ทำความรู้จักกับคู่แข่งของแบรนด์ให้มากกว่าเดิม โดยการศึกษาว่าคู่แข่งคือใคร มีเป้าหมายอะไร และที่สำคัญต้องพยายามหาให้เจอว่าแบรนด์ของเรามีจุดไหนที่แตกต่างจากคู่แข่งบ้าง แล้วอะไรที่ทำให้ลูกค้าต้องเลือกแบรนด์ของเราแทนที่จะเลือกคู่แข่ง เมื่อทราบถึงจุดแข็งของแบรนด์ที่แตกต่างจากคู่แข่งแล้ว ต้องพยายามสื่อสารออกไปให้ลูกค้าเข้าใจในความแตกต่างนั้น เช่น ถ้าแบรนด์ของเราและคู่แข่งอยู่ในอุสาหกรรมแฟชั่นทั้งคู่ แต่แบรนด์ของคู่แข่งเป็น fast fashion ที่ราคาถูก ในขณะที่แบรนด์ของเราเป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่ใส่ได้ในทุกยุคทุกสมัย อีกทั้งใส่ใจเรื่องคุณภาพของเนื้อผ้าและการตัดเย็บ เราจะต้องเน้นสื่อสารในเรื่องของคุณภาพแทนที่จะแข่งในเรื่องราคา
3. สร้างเอกลักษณ์ให้กับแบรนด์ของคุณ
แน่นอนว่า brand หรือ corporate identity คือ อีกสิ่งที่ทุกธุรกิจรวมถึงนักการตลาดจะต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพราะสิ่งนี้คือจุดที่จะช่วยให้แบรนด์และธุรกิจของคุณเป็นที่จดจำท่ามกลางธุรกิจอีกมากมาย เรียกอีกอย่างได้ว่าเป็นองค์ประกอบต่างๆ ที่รวมกันเพื่อสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ เช่น โลโก้ สีสัน สัญลักษณ์ สโลแกน และบุคลิกของแบรนด์ เอกลักษณ์ของแบรนด์ที่ดีจะช่วยให้แบรนด์มีความโดดเด่นและจดจำได้ง่าย เช่น Nike มีโลโก้เครื่องหมาย Swoosh ที่สื่อถึงการเคลื่อนไหวและความเร็ว และมีสโลแกน คือ “Just Do It” ที่สื่อถึงแรงบันดาลใจให้ผู้คนลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ต้องการ
4. ทำความรู้จักกลุ่มเป้าหมายที่ใช่
ลูกค้าคือหัวใจของทุกธุรกิจ เพราะฉะนั้นการศึกษากลุ่มเป้าหมายนั้นมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการสำรวจคู่แข่ง อีกทั้งยังเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรทำ เนื่องจากการรู้ว่าลูกค้าคือใคร หรือการทำ Persona จะช่วยให้แบรนด์สามารถพัฒนาสินค้าและบริการได้อย่างตอบโจทย์ ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นคำถามสำคัญที่ควรใช้เพื่อค้นหากลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงของแบรนด์ กลุ่มเป้าหมายมีอายุเท่าไหร่? ประกอบอาชีพอะไร? อาศัยอยู่ที่ไหน? มีประวัติการศึกษาอย่างไรบ้าง? มีความสนใจเกี่ยวกับอะไรเป็นพิเศษ? และที่สำคัญคือเขาต้องการสินค้าหรือบริการจากธุรกิจของเราไหม? โดยคำถามเหล่านี้จะช่วยให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนทำให้แบรนด์สามารถสร้างสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น กลุ่มเป้าหมายของร้านขายมอเตอร์ไซที่ใกล้มหาวิทยาลัย คือ วัยรุ่น เพศชาย อายุ 18-25 ปี กำลังเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัย และมีกำลังทรัพย์ไม่มากนัก แต่อยากได้ยานพาหะในการเดินทางใกล้ๆ มหาวิทยาลัย
ศึกษาเพิ่มเติม: Target Audience คือ เข้าใจกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายในธุรกิจคุณ
5. สร้างเรื่องราวของแบรนด์
นอกจากแบรนด์จะต้องมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากแบรนด์อื่นแล้ว การมีเรื่องราวที่น่าสนใจก็เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งเสริมให้แบรนด์เป็นที่น่าจดจำ โดยแบรนด์จะต้องใช้เวลากับส่วนนี้มากเป็นพิเศษเนื่องจากจะต้องเป็นเรื่องราวที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดี โดยอาจประกอบด้วยจุดกำเนิด เป้าหมาย วิสัยทัศน์ของแบรนด์ เรื่องราวที่น่าประทับใจอาจไม่จำเป็นต้องมีจุดพีค หรือเป็นเรื่องที่ดราม่าแต่ต้องเป็นเรื่องที่แสดงถึงความจริงใจของแบรนด์ได้เป็นอย่างดีเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเชื่อมั่นและจดจำได้ เช่น คุณตาและคุณยายเปิดร้านอาหารเล็กๆ ในชนบทเพราะต้องการให้คนในครอบครัวได้ทานผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษและยาฆ่าแมลง และส่งต่อร้านอาหารออแกนิคจากรุ่นสู่รุ่นกว่า 50 ปี จนปัจจุบันธุรกิจได้ขยายใหญ่มากขึ้น และมีการนำสูตรน้ำสลัดของคุณยายที่มีให้เลือกกว่า 10 รสชาติมาเป็นจุดขาย เพื่อให้ลูกค้าที่ได้มาทานอาหารที่ร้านสามารถเลือกผัก ผลไม้ รวมถึงน้ำสลัดที่ต้องการได้เอง
ศึกษาเพิ่มเติม: Storytelling เล่าเรื่องอย่างไรให้เป็นที่น่าจดจำในมุมการธุรกิจ
6. วัดผลความสำเร็จ
หลังจากที่ได้องค์ประกอบทั้งหมดที่สามารถนำไปใช้ในการทำ Brand Marketing แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการตั้ง KPIs หรือตัววัดผลจองการทำการตลาดในแต่ละรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา สร้างแคมเปญ จัดกิจจกรรม เพื่อที่แบรนด์และนักการตลาดจะได้วัดผลความสำเร็จของกิจกรรมทางการตลาดเหล่านั้นได้ถูกต้อง เช่น แบรนด์เครื่องดื่มทำการตลาดแบบออฟไลน์โดยนำเครื่องดื่มไปแจกที่มหาวิทยาลัย โดยให้คนที่ต้องการรับเครื่องดื่มฟรีกดติดตามโซเชียลมีเดียของแบรนด์ กำหนด KPI ว่าจะต้องมีคนกดติดตามมากกว่า 200 คนใน 5 วัน
รูปแบบ Trend Brand Marketing ในปัจจุบัน
1. Social Listening Tools

แน่นอนว่าในยุคที่เทคโนโลยีกำลังพัฒนาไปไกล นักการตลาดอย่างเราก็สามารถใช้เครื่องมืออย่าง Social Listening อย่าง Mandala Analytics เพื่อช่วยในการศึกษาทั้งกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางที่กลุ่มเป้าหมายอยู่มากที่สุด คีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหา เวลาที่กลุ่มเป้าหมายใช้งานโซเชียลมีเดียมากที่สุด อีกทั้งยังสามารถสรุปข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงคู่แข่งได้อย่างรวดเร็ว และสำหรับแบรนด์ที่ต้องการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการทำการตลาดก็สามารถค้นหาอืนฟลูที่มีลักษณธคอนเทนต์ไปทางเดียวกันกับที่แบรนด์สนใจได้อีกด้วย
2. Short Video
@gkocoach 슬릭백 이것만 알면 몸치도 공중부양 할 수 있습니다 #슬릭백 #오코치 #배네타 #틱톡크리에이터아카데미 @.의검 ♬ 오리지널 사운드 – Gkocoach / GK오코치🇰🇷
ถ้าพูดถึงรูปแบบคอนเทนต์ที่กำลังมาแรงในยุคนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นวิดิโอสั้น เพราะในชีวิตประจำวันของเราต่างก็เร่งรีบ การดูวิดิโอนานๆ จึงไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป หลายแพลตฟอร์มจึงเริ่มหันมาออกฟีเจอร์วิดิโอสั้นเพื่อรองรับความต้องการของผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็น Instagram Reel, TikTok, Facebook Reels และ YouTube Short การที่แบรนด์สื่อสารโดยใช้วิดิโอสั้นจึงมีแนวโน้มที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้นกว่าการใช้คอนเทนต์ในรูปแบบอื่นๆ โดยอาจนำเสนอเบื้องหลังของแบรนด์ในการผลิตสินค้าและบริการเพื่อสร้างความเชื่อมัานให้กับลูกค้าในเรื่องของคุณภาพของสินค้าและบริการ

สรุป
การทำ Brand Marketing นับเป็นกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญสำหรับธุรกิจและนักการตลาดในทุกอุสาหกรรมเพราะช่วยให้ธุรกิจเป็นที่จดจำ สร้างชื่อเสียงเชิงบวกของแบรนด์ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มยอดขายและกำไรให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี อย่าลืมนำเทคนิคการสร้าง branding ทั้ง 6 ข้อไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของคุณเพื่อช่วยให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เหนือคู่แข่ง