Impression และ Reach เป็นสิ่งที่ใช้วัดประสิทธิภาพของการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะในบริบทของการทำโฆษณาและการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจหรือองค์กร แม้ว่าทั้งสองคำนี้จะมีความเกี่ยวข้องกับการโฆษณาเหมือนกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ในแง่การวัดผลการทำงานของ Marketing Campaign นั่นเอง ดังนั้นการทำความเข้าใจในความหมาย ความแตกต่าง และการรู้จักวิธีติดตามผล วิเคราะห์ค่า Impression และ Reach จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับนักการตลาดในสมัยนี้ เพื่อการทำการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นนั่นเอง
Impression คืออะไร
Impression คือ จำนวนครั้งที่โฆษณาหรือเนื้อหานั้นปรากฏอยู่บนเว็บไซต์หรือสื่อโซเชียลมีเดีย ซึ่งการปรากฏของโฆษณาหรือเนื้อหานั้น ไม่ว่าผู้ใช้จะมองเห็นหรือไม่ทันได้มองไม่เห็น จะกดคลิกดูหรือไม่คลิกดูก็ตาม ก็จะนับเป็น 1 Impression รวมถึงการแสดงโฆษณาซ้ำกับคนเดิมก็จะนับเป็น 1 Impression เช่นกัน ดังนั้นยิ่งโฆษณาหรือเนื้อหานั้นปรากฏอยู่บนหน้าจอบ่อยเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้ยอด Impression สูงนั่นเอง
ยกตัวอย่าง Impression Facebook คือ การที่โฆษณาหรือเนื้อหาปรากฏอยู่บนหน้า Feed ใน Facebook ถ้าเราเห็นโพสต์นั้น โพสต์นั้นก็จะนับเป็น 1 Impression และถ้าเราเห็นโพสต์นั้นซ้ำอีก ก็จะนับเป็น 2 Impressions นั่นเอง
ทำไม Impression ถึงสำคัญ
Impression มีความสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์หลายอย่าง เช่น
- ช่วยให้คุณทราบว่าแคมเปญหรือเนื้อหาของคุณได้รับความสนใจหรือประสบผลสำเร็จมากแค่ไหน ยิ่งค่า Impression สูง ก็ยิ่งแสดงว่าโฆษณาหรือเนื้อหาของคุณนั้นประสบผลสำเร็จ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตามที่วางแผนไว้นั่นเอง
- สามารถช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาด เพราะหากยอด ยอด Impression สูงเท่าไหร่ จะจะยิ่งทำให้คนเห็นและรู้จักกับแบรนด์ของคุณมากขึ้น ซึ่งนี่เป็นส่วนสำคัญในการสร้างการรับรู้และความรู้สึกที่ดีต่อแบรนด์ด้วย
- Impression เปรียบเสมือนการสร้างความคุ้นเคยให้กับผู้บริโภค เพราะการแสดงผลเนื้อหาหรือโฆษณาบ่อย ๆ ทำให้มี Impression สูง ก็จะช่วยสร้างความคุ้นเคยให้กับแบรนด์เข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคได้
- ช่วยให้คุณทราบว่าโฆษณาของคุณมีการแสดงผลอย่างเหมาะสมหรือไม่ หากคุณมี Impression สูงแต่ Reach ต่ำ อาจเป็นสัญญาณว่าโฆษณาของคุณ มีการแสดงผลไปยังกลุ่มเป้าหมายเพียงได้แค่บางส่วนเท่านั้น
- ช่วยให้คุณทราบว่าการลงทุนในแคมเปญหรือโฆษณา มีค่าตอบแทนที่ดีหรือไม่ ทำให้คุณสามารถตัดสินใจปรับงบประมาณตลาดของคุณให้เหมาะสมตามผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ง่ายขึ้น
- ค่า Impression ยังช่วยให้คุณสามารถจัดการกับเนื้อหาและแคมเปญการตลาดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถปรับปรุงเนื้อหาหรือแก้ไขแผนการตลาดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้ดีขึ้นได้
- Impression มีส่วนช่วยสร้างความคุ้นเคยและการรับรู้แบรนด์ในระยะยาว ส่งผลให้ช่วยเพิ่มยอดขายในระยะยาวได้ด้วย
ประเภทของ Impression มีอะไรบ้าง
เมื่อพิจารณาตามทฤษฎีแล้ว Impression สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. Served Impression
Served Impression เป็นการระบุจำนวนครั้งที่โฆษณาหรือเนื้อหาถูกส่งให้แก่ผู้ชมหรือผู้ใช้งาน โดย Served Impression จะไม่คำนึงถึงว่าผู้ใช้จริง ๆ จะมองเห็นหรือมองไม่เห็นโฆษณานั้นหรือไม่ เพราะเป็นเพียงการนับจำนวนครั้งที่โฆษณาหรือเนื้อหาถูกส่งไปยังผู้ใช้งาน
ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะบอกว่าเนื้อหามีอิทธิพลมากเพียงใด Served Impression
จึงมักถูกใช้เพื่อรายงานและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาหรือกิจกรรมการตลาดในระดับของการส่งถึงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่คำนึงถึงการมองเห็นจริงของผู้ใช้
2. Viewable Impression
Viewable Impression เป็นการแสดงประสิทธิภาพของโฆษณาหรือเนื้อหา ว่าเมื่อแสดงผลบนหน้าจอแล้วเกิดการเข้าถึงจริง ๆ หรือไม่ โดย Viewable Impression นับว่ามีความสำคัญกับนักการตลาดและผู้ทำโฆษณาออนไลน์ เนื่องจากมันจะช่วยให้วัดผลการแสดงโฆษณาได้อย่างแม่นยำขึ้น เพราะ Viewable Impression จะไม่นับยอดเข้าถึง หากผู้ใช้งานมองไม่เห็นโฆษณา
ซึ่งการวัดค่า Viewable Impression นี้จะช่วยลดปัญหาการนับ Impressions ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ถ้าโฆษณาแสดงบนหน้า Facebook หรือหน้าเว็บไซต์แล้วผู้ใช้งานเลื่อนผ่านเฉย ๆ ไม่กดลงมาอ่านเนื้อหาจนครบ หรือปิดโฆษณาก่อนแสดงผลจบ หรือใช้ Ads Block หรือความละเอียดหน้าจอน้อยเกินกว่าที่โฆษณาจะปรากฏบนหน้าจอได้ ก็จะไม่สามารถนับจำนวนเป็น Viewable Impression ได้
โดยทั่วไปแล้วค่า Viewable Impression นั้น มักมีมาตรฐานการในมองเห็นโฆษณาปรากฏแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น เนื้อหาปรากฏอยู่บนหน้าจออย่างน้อย 50% และเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 1 วินาที เป็นต้น เพื่อถูกนับเป็น Viewable Impression ในการวัดประสิทธิภาพของโฆษณานั่นเอง
Impression แตกต่างกับ Reach อย่างไร
Reach คือ “จำนวนคน” ที่เห็นเห็นเนื้อหาหรือโฆษณา โดยค่า Reach จะนับจากจำนวนบุคคลที่เข้าถึงเนื้อหาหรือโฆษณานั้น ๆ และจะไม่นับคนที่เห็นเนื้อหานั้นซ้ำด้วย ซึ่งการวัดค่า Reach จะช่วยให้คุณเข้าใจว่า เมื่อคุณโฆษณาหรือโพสต์เนื้อหาออกไป เนื้อหานั้นเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากน้อยแค่ไหน
ดังนั้น Impression = จำนวนครั้งที่เนื้อหาหรือโฆษณาปรากฏ หากแสดงผลซ้ำกับบุคคลเดิมก็จะนับจำนวนไปด้วย
ส่วน Reach = จำนวนบุคคลเห็นเนื้อหาหรือโฆษณานั้น ๆ แต่หากแสดงผลซ้ำกับบุคคลเดิมจะไม่นับจำนวน
เทคนิคการเพิ่ม Impression ให้กับธุรกิจคุณ
การเพิ่ม Impression หรือจำนวนครั้งที่โฆษณาหรือเนื้อหาของธุรกิจคุณ ให้ปรากฏบนหน้าจอของผู้ใช้งาน เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างการรับรู้และความสนใจต่อธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น นี่คือเทคนิคหลาย ๆ รูปแบบที่สามารถใช้เพื่อเพิ่ม Impression ให้กับธุรกิจของคุณได้
- สร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่น่าสนใจและมีคุณภาพเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ควรใช้ข้อมูลและเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมในเนื้อหามากขึ้น
- เลือกรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและเหมาะสมกับสื่อแต่ละแพลตฟอร์ม ก็ช่วยให้ Impression สูงขึ้นได้ เช่น วีดีโอ ,ภาพถ่าย, กราฟิก เป็นต้น
- ปรับปรุงการมีส่วนร่วม ตั้งแต่สื่อโซเชียลมีเดียไปจนถึงเครื่องมือค้นหา ทุกแพลตฟอร์มที่ต้องการส่งเนื้อหาไปยังกลุ่มเป้าหมาย
- ใช้การทดสอบ A/B หรือการทำ A/B testing ที่หลายคนเรียกกัน หากคุณต้องการได้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ประกอบการตัดสินใจของคุณ ให้ทำการทดสอบโฆษณาและเนื้อหาโซเชียลมีเดีย เพื่อพิจารณาว่าประเภทและรูปแบบเนื้อหาใด ที่ได้รับการมีส่วนร่วมและมีการแสดงผลได้ดีมากที่สุด
- ปรับปรุงคุณภาพโฆษณาและใช้การเสนอราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ หากต้องการ Impression มาก คุณอาจจะต้องปรับเสนอราคาให้สูงขึ้น หรือลองใช้การเสนอราคาแบบคละราคา เพื่อให้เหมาะสมกับโอกาสการแสดงผล หรือลองตรวจสอบผลการเสนอราคาของคุณและเปรียบเทียบกับคู่แข่ง แล้ว ปรับตามผลรายงานการเปรียบเทียบ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะการแสดงผล เป็นต้น
- การทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณ (On-Page) เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าแรกในเครื่องมือค้นหา (Search Engine) ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถเพิ่มโอกาสให้มี Impression มากขึ้น รวมถึงการทำ SEO นอกเพจ (Off-Page) ด้วยเช่นกัน
- การใช้แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์อื่น ๆ นอกจาก Facebook หรือ Instagram ที่นิยมใช้กันแล้ว การใช้ LinkedIn, TikTok ฯลฯ เพื่อสร้างเนื้อหาและสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ ก็สามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้มี Impression มากขึ้นได้เช่นกัน
- เลือกเวลาที่เหมาะสมสำหรับการแสดงผลโฆษณาของคุณ เช่น เวลาที่ผู้ชมมักออนไลน์มากที่สุด เพื่อให้เกิด Impression ที่สูงขึ้นนั่นเอง
สรุป
Impression และ Reach นั้น มีผลต่อการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการทำการตลาดออนไลน์ ดังนั้นเพื่อให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและเกิดความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการการติดตาม วิเคราะห์ ปรับปรุง และพัฒนา Impression และ Reach อย่างสม่ำเสมอ จะช่วยสร้างยอดขายและส่งผลให้ธุรกิจของคุณเติบโตในยุคดิจิทัลที่มีการแข่งขันสูงอย่างเช่นทุกวันนี้ได้