ในโลกของการตลาดดิจิทัล การวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญก็คือ Bounce Rate แต่คุณรู้หรือไม่ว่า Bounce Rate คืออะไร? และค่าที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Bounce Rate และวิธีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับได้ดียิ่งขึ้น
Bounce Rate คืออะไร?
อัตราตีกลับ หรือ Bounce Rate คือ เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่คลิกเข้าดูมาเพียงหน้าเดียว แล้วกดออกจากหน้าที่เข้ามาโดยไม่มีการโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ไม่คลิกดูหน้าอื่นในเว็บไซต์ ไม่คลิกลิงก์ ฯลฯ โดย Google Analytics จะทำการวัดและวิเคราะห์ข้อมูลนี้
ยกตัวอย่างเช่น หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ 100 คน และมี 60 คนที่ออกจากเว็บไซต์โดยไม่มีการโต้ตอบใด ๆ Bounce Rate ของคุณจะอยู่ที่ 60% ซึ่งการเข้าใจ Bounce Rate อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการทำการตลาดออนไลน์และการเพิ่มยอดขายของธุรกิจนั่นเอง
Bounce Rate มีความสำคัญอย่างไร?
Bounce Rate ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างมากในหลาย ๆ ด้าน เช่น
- บ่งบอกถึงคุณภาพของเนื้อหาและการออกแบบเว็บไซต์ โดย Bounce Rate ที่สูงอาจบ่งบอกได้ว่า เนื้อหาหรือการออกแบบเว็บไซต์ของคุณไม่ตรงกับความต้องการหรือความคาดหวังของผู้เข้าชม
- ช่วยวัดประสิทธิภาพของหน้า Landing Page เพราะสำหรับการทำแคมเปญโฆษณานั้น Bounce Rate สามารถบอกได้ว่าหน้า Landing Page ของคุณสามารถดึงดูดความสนใจ ทำให้ผู้เข้าชมอยากดูเว็บไซต์ต่อไปหรือไม่ รวมถึงสามารถสร้าง Engagement กับผู้เข้าชมได้ดีหรือไม่
- Bounce Rate สามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาและการตลาดต่าง ๆ ถือว่าเป็นการช่วยวัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาดได้ในตัว
- ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานเว็บไซต์มากขึ้น เพราะจากการวิเคราะห์ Bounce Rate ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ จะทำให้ได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานว่าสนใจเนื้อหาส่วนไหนของเว็บไซต์ และมีความสนใจเนื้อหาอะไรมากเป็นพิเศษ
- ใช้เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) โดย Bounce Rate ที่สูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาในด้าน UX ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานโดยรวม
- ส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ Bounce Rate โดยเว็บไซต์ที่มีค่า Bounce Rate สูง อาจส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ที่ต่ำลง
วิธีเช็กและการคำนวณ Bounce Rate
วิธีเช็ก Bounce Rate ทำได้ง่าย ๆ ผ่าน Google Analytics ซึ่งมีสูตรคำนวณ Bounce Rate ดังนี้
Bounce Rate = (จำนวนการเข้าชมหน้าเดียว / จำนวนการเข้าชมทั้งหมด) x 100
เช่น หากเว็บไซต์มีการเข้าชมทั้งหมด 1,000 ครั้ง และในจำนวนนั้น มีผู้ที่เข้าชมเพียงหน้าเดียว แล้วออกจากเว็บไซต์ทั้งสิ้น 600 คน ค่า Bounce Rate จะเท่ากับ (600/1,000)*100 = 60%
ค่า Bounce Rate ที่ดี ควรอยู่ที่เท่าไหร่
การกำหนดว่าค่า Bounce Rate เท่าไหร่ถึงจะ “ดี” นั้น ไม่มีคำตอบตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของเว็บไซต์ อุตสาหกรรม และเป้าหมายของเว็บไซต์ ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วค่า Bounce Rate ที่ดีควรอยู่ที่ 35 – 55% อย่างไรก็ตาม ยังมีค่าเฉลี่ยสำหรับประเภทเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- เว็บไซต์ E-commerce: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 20 – 45%
- เว็บไซต์ทั่วไป: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 30 – 55%
- เว็บไซต์ที่มีเนื้อหา: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 35 – 60%
- Landing Page: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 60 – 90%
เทคนิคทำให้ค่า Bounce Rate ต่ำลง เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์
- ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ
ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้โดยตรง เพราะเว็บไซต์ที่โหลดช้า จะทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดและอาจคลิกออกจากเว็บไซต์ไป โดยอาจแก้ด้วยหลากหลายวิธี เช่น เลือก Hosting ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลและ Bandwidth เพียงพอต่อความต้องการของเว็บไซต์ บีบอัดรูปภาพก่อนนำมาใช้บนเว็บไซต์เพื่อลดขนาดไฟล์ อัปเดตซอฟต์แวร์ ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ
- ออกแบบ UI/UX ให้ใช้งานง่าย
การออกแบบ UI/UX ที่ดีควรเน้นความเรียบง่ายและความสะดวกในการใช้งาน ควรจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบและสอดคล้องกัน ใช้สีและฟอนต์ที่อ่านง่าย มีเมนูนำทางที่ชัดเจน สร้างลำดับการใช้งานที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งการทำวิจัยผู้ใช้งานและการทดสอบการใช้งานจริง จะช่วยให้เข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานและสามารถปรับปรุงการออกแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงกลุ่มเป้าหมาย
เนื้อหาที่มีคุณภาพควรให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ถูกต้อง และทันสมัย ควรเขียนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การวิจัยคีย์เวิร์ดและการวิเคราะห์คู่แข่งจะช่วยให้สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้อ่านและมีโอกาสติดอันดับใน Search Engines มากขึ้น นอกจากนี้ ควรปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อรักษาความเกี่ยวข้องและคุณค่าของเนื้อหานั่นเอง
- ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน
Call-to-Action (CTA) ที่มีประสิทธิภาพ ควรมีข้อความที่ชัดเจน โดดเด่น และกระตุ้นให้เกิดการกระทำ ควรใช้คำที่สื่อถึงความเร่งด่วนหรือประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับ เช่น “รับข้อเสนอพิเศษวันนี้” หรือ “เริ่มต้นฟรีทันที” ตำแหน่งของ CTA ก็สำคัญ ควรวางในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดและสอดคล้องกับเนื้อหารอบข้าง การทดสอบสี ขนาด และข้อความของ CTA จะช่วยหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ
- ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือ
การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานบนมือถือ (Responsive Design) เป็นสิ่งจำเป็นในยุคนี้ เพื่อให้เว็บไซต์ปรับขนาดหน้าจอให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายบนมือถือ นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการใช้งานบนหน้าจอสัมผัส เช่น การออกแบบปุ่มให้มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับการกดด้วยนิ้ว และการจัดวางเนื้อหาให้อ่านง่ายบนหน้าจอขนาดเล็ก
- ใช้ภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ
ควรเลือกภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพสูง สอดคล้องกับเนื้อหา และสะท้อนบุคลิกของแบรนด์ นอกจากนี้ ควรตั้งชื่อไฟล์และใส่ alt text ให้กับรูปภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา
- เพิ่มลิงก์ภายในที่เกี่ยวข้อง
การเพิ่มลิงก์ภายในจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และเพิ่มเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ได้ นอกจากนี้ ควรเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ใช้คำที่มีความหมายในข้อความลิงก์แทนการใช้คำทั่วไป เช่น “คลิกที่นี่” การวางแผนโครงสร้างลิงก์ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้และ Search Engines เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
- ทำ A/B Testing เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด
A/B Testing เป็นวิธีการทดสอบที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ควรทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น หัวข้อ ปุ่ม CTA สี และการจัดวางเนื้อหา โดยแบ่งผู้เข้าชมออกเป็นสองกลุ่มและแสดงเวอร์ชันที่แตกต่างกัน จากนั้นวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อตัดสินใจว่าเวอร์ชันไหนมีประสิทธิภาพมากกว่า การทำ A/B Testing อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น
- ปรับปรุง Meta Description ให้ตรงกับเนื้อหา
การเขียน Meta Description ที่ดีจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) จากหน้าผลการค้นหาได้ โดยMeta Description เป็นข้อความสั้น ๆ ที่อธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บ ซึ่งจะแสดงในผลการค้นหาของ Search Engines ควรเขียนให้กระชับ น่าสนใจ และสะท้อนเนื้อหาของหน้าเว็บอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ควรใช้คีย์เวิร์ดสำคัญด้วย แต่หลีกเลี่ยงการยัดเยียดคีย์เวิร์ดมากเกินไป ควรจำกัดความยาวไม่เกิน 155-160 ตัวอักษร เพื่อให้แสดงผลได้เต็มในหน้าผลการค้นหา
- ใช้ Pop-up อย่างเหมาะสม
Pop-up สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รบกวนประสบการณ์การใช้งาน ทั้งนี้ ควรกำหนดเวลาและความถี่ในการแสดง Pop-up อย่างเหมาะสม เช่น แสดงหลังจากผู้ใช้อ่านเนื้อหาไประยะหนึ่งหรือเมื่อกำลังจะออกจากเว็บไซต์, ออกแบบ Pop-up ให้สวยงาม มีข้อความที่น่าสนใจ และมีปุ่มปิดที่เห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ ควรพิจารณาใช้ Pop-up แบบ Responsive ที่แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์
แล้วเว็บไซต์ของคุณมีค่า Bounce Rate อยู่ที่เท่าไหร่
การทราบค่า Bounce Rate ของเว็บไซต์เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาประสิทธิภาพ แล้วเว็บไวต์ของคุณล่ะ? มีค่า Bounce Rate อยู่ที่เท่าไหร่ หากค่า Bounce Rate ของคุณสูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่าเพิ่งท้อใจ! ใช้เทคนิคที่เราแนะนำไปปรับใช้ และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง การลด Bounce Rate ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าอีกด้วย