Social Media MarketingSocial ListeningFacebook MarketingInstagram MarketingTikTok Marketing
Try Mandala For Free

Bounce Rate คือ? ค่า Bounce Rate ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไหร่ ดันเว็บให้ติดอันดับ

Bounce Rate คือ? ค่า Bounce Rate ที่ดีควรอยู่ที่เท่าไหร่ ดันเว็บให้ติดอันดับ

ในโลกของการตลาดดิจิทัล การวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หนึ่งในตัวชี้วัดที่สำคัญก็คือ Bounce Rate แต่คุณรู้หรือไม่ว่า Bounce Rate คืออะไร? และค่าที่เหมาะสมควรอยู่ที่เท่าไหร่? บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Bounce Rate และวิธีการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับได้ดียิ่งขึ้น 

Bounce Rate คืออะไร? 

อัตราตีกลับ หรือ Bounce Rate คือ เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่คลิกเข้าดูมาเพียงหน้าเดียว แล้วกดออกจากหน้าที่เข้ามาโดยไม่มีการโต้ตอบใด ๆ ทั้งสิ้น เช่น ไม่คลิกดูหน้าอื่นในเว็บไซต์ ไม่คลิกลิงก์ ฯลฯ โดย Google Analytics จะทำการวัดและวิเคราะห์ข้อมูลนี้ 

ยกตัวอย่างเช่น หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ 100 คน และมี 60 คนที่ออกจากเว็บไซต์โดยไม่มีการโต้ตอบใด ๆ Bounce Rate ของคุณจะอยู่ที่ 60% ซึ่งการเข้าใจ Bounce Rate อย่างลึกซึ้ง จะช่วยให้คุณสามารถวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อการทำการตลาดออนไลน์และการเพิ่มยอดขายของธุรกิจนั่นเอง

Bounce Rate มีความสำคัญอย่างไร?  

Bounce Rate ไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังมีความสำคัญอย่างมากในหลาย ๆ ด้าน เช่น

  • บ่งบอกถึงคุณภาพของเนื้อหาและการออกแบบเว็บไซต์ โดย Bounce Rate ที่สูงอาจบ่งบอกได้ว่า เนื้อหาหรือการออกแบบเว็บไซต์ของคุณไม่ตรงกับความต้องการหรือความคาดหวังของผู้เข้าชม
  • ช่วยวัดประสิทธิภาพของหน้า Landing Page เพราะสำหรับการทำแคมเปญโฆษณานั้น Bounce Rate สามารถบอกได้ว่าหน้า Landing Page ของคุณสามารถดึงดูดความสนใจ ทำให้ผู้เข้าชมอยากดูเว็บไซต์ต่อไปหรือไม่ รวมถึงสามารถสร้าง Engagement กับผู้เข้าชมได้ดีหรือไม่
  • Bounce Rate สามารถบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาและการตลาดต่าง ๆ ถือว่าเป็นการช่วยวัดความสำเร็จของแคมเปญการตลาดได้ในตัว
  • ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้งานเว็บไซต์มากขึ้น เพราะจากการวิเคราะห์ Bounce Rate ร่วมกับข้อมูลอื่น ๆ จะทำให้ได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ วิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้งานว่าสนใจเนื้อหาส่วนไหนของเว็บไซต์ และมีความสนใจเนื้อหาอะไรมากเป็นพิเศษ
  • ใช้เป็นตัวชี้วัดในการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) โดย Bounce Rate ที่สูงอาจบ่งชี้ถึงปัญหาในด้าน UX ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเพื่อปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานโดยรวม
  • ส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ เพราะ Google ให้ความสำคัญกับ Bounce Rate โดยเว็บไซต์ที่มีค่า Bounce Rate สูง อาจส่งผลต่ออันดับเว็บไซต์ที่ต่ำลง

วิธีเช็กและการคำนวณ Bounce Rate  

วิธีเช็ก Bounce Rate ทำได้ง่าย ๆ ผ่าน Google Analytics ซึ่งมีสูตรคำนวณ Bounce Rate ดังนี้

Bounce Rate = (จำนวนการเข้าชมหน้าเดียว / จำนวนการเข้าชมทั้งหมด) x 100 

เช่น หากเว็บไซต์มีการเข้าชมทั้งหมด 1,000 ครั้ง และในจำนวนนั้น มีผู้ที่เข้าชมเพียงหน้าเดียว แล้วออกจากเว็บไซต์ทั้งสิ้น 600 คน ค่า Bounce Rate จะเท่ากับ (600/1,000)*100 = 60%

ค่า Bounce Rate ที่ดี ควรอยู่ที่เท่าไหร่  

การกำหนดว่าค่า Bounce Rate เท่าไหร่ถึงจะ “ดี” นั้น ไม่มีคำตอบตายตัว เนื่องจากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ประเภทของเว็บไซต์ อุตสาหกรรม และเป้าหมายของเว็บไซต์ ทั้งนี้  โดยทั่วไปแล้วค่า Bounce Rate ที่ดีควรอยู่ที่ 35 – 55% อย่างไรก็ตาม ยังมีค่าเฉลี่ยสำหรับประเภทเว็บไซต์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • เว็บไซต์ E-commerce: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 20 – 45%
  • เว็บไซต์ทั่วไป: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 30 – 55%
  • เว็บไซต์ที่มีเนื้อหา: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 35 – 60%
  • Landing Page: ค่า Bounce Rate ที่เหมาะสมคือ 60 – 90%

เทคนิคทำให้ค่า Bounce Rate ต่ำลง เพื่อประสิทธิภาพของเว็บไซต์ 

  1. ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ

ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ผู้ใช้โดยตรง เพราะเว็บไซต์ที่โหลดช้า จะทำให้ผู้ใช้หงุดหงิดและอาจคลิกออกจากเว็บไซต์ไป โดยอาจแก้ด้วยหลากหลายวิธี เช่น เลือก Hosting ที่มีพื้นที่เก็บข้อมูลและ Bandwidth เพียงพอต่อความต้องการของเว็บไซต์ บีบอัดรูปภาพก่อนนำมาใช้บนเว็บไซต์เพื่อลดขนาดไฟล์ อัปเดตซอฟต์แวร์ ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดอยู่เสมอ

  1. ออกแบบ UI/UX ให้ใช้งานง่าย

การออกแบบ UI/UX ที่ดีควรเน้นความเรียบง่ายและความสะดวกในการใช้งาน ควรจัดวางองค์ประกอบต่าง ๆ อย่างเป็นระเบียบและสอดคล้องกัน ใช้สีและฟอนต์ที่อ่านง่าย มีเมนูนำทางที่ชัดเจน สร้างลำดับการใช้งานที่เป็นธรรมชาติ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งการทำวิจัยผู้ใช้งานและการทดสอบการใช้งานจริง จะช่วยให้เข้าใจความต้องการของผู้ใช้งานและสามารถปรับปรุงการออกแบบได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

  1. สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตรงกลุ่มเป้าหมาย

เนื้อหาที่มีคุณภาพควรให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ ถูกต้อง และทันสมัย ควรเขียนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจตรงกับกลุ่มเป้าหมาย การวิจัยคีย์เวิร์ดและการวิเคราะห์คู่แข่งจะช่วยให้สร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้อ่านและมีโอกาสติดอันดับใน Search Engines มากขึ้น นอกจากนี้ ควรปรับปรุงเนื้อหาเก่าให้ทันสมัยอยู่เสมอ เพื่อรักษาความเกี่ยวข้องและคุณค่าของเนื้อหานั่นเอง

  1. ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน

Call-to-Action (CTA) ที่มีประสิทธิภาพ ควรมีข้อความที่ชัดเจน โดดเด่น และกระตุ้นให้เกิดการกระทำ ควรใช้คำที่สื่อถึงความเร่งด่วนหรือประโยชน์ที่ผู้ใช้จะได้รับ เช่น “รับข้อเสนอพิเศษวันนี้” หรือ “เริ่มต้นฟรีทันที” ตำแหน่งของ CTA ก็สำคัญ ควรวางในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดและสอดคล้องกับเนื้อหารอบข้าง การทดสอบสี ขนาด และข้อความของ CTA จะช่วยหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับเว็บไซต์ของคุณ

  1. ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนมือถือ

การออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับการใช้งานบนมือถือ (Responsive Design) เป็นสิ่งจำเป็นในยุคนี้ เพื่อให้เว็บไซต์ปรับขนาดหน้าจอให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ใช้ฟอนต์ที่อ่านง่ายบนมือถือ นอกจากนี้ ควรคำนึงถึงการใช้งานบนหน้าจอสัมผัส เช่น การออกแบบปุ่มให้มีขนาดที่เหมาะสมสำหรับการกดด้วยนิ้ว และการจัดวางเนื้อหาให้อ่านง่ายบนหน้าจอขนาดเล็ก

  1. ใช้ภาพและวิดีโอที่น่าสนใจ

ควรเลือกภาพและวิดีโอที่มีคุณภาพสูง สอดคล้องกับเนื้อหา และสะท้อนบุคลิกของแบรนด์ นอกจากนี้ ควรตั้งชื่อไฟล์และใส่ alt text ให้กับรูปภาพ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา

  1. เพิ่มลิงก์ภายในที่เกี่ยวข้อง

การเพิ่มลิงก์ภายในจะช่วยปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์และเพิ่มเวลาที่ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ได้ นอกจากนี้ ควรเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ใช้คำที่มีความหมายในข้อความลิงก์แทนการใช้คำทั่วไป เช่น “คลิกที่นี่” การวางแผนโครงสร้างลิงก์ที่ดีจะช่วยให้ผู้ใช้และ Search Engines เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาบนเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

  1. ทำ A/B Testing เพื่อหาวิธีที่ดีที่สุด

A/B Testing เป็นวิธีการทดสอบที่มีประสิทธิภาพในการปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ควรทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น หัวข้อ ปุ่ม CTA สี และการจัดวางเนื้อหา โดยแบ่งผู้เข้าชมออกเป็นสองกลุ่มและแสดงเวอร์ชันที่แตกต่างกัน จากนั้นวิเคราะห์ผลลัพธ์เพื่อตัดสินใจว่าเวอร์ชันไหนมีประสิทธิภาพมากกว่า การทำ A/B Testing อย่างต่อเนื่องจะช่วยให้คุณปรับปรุงเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้ดียิ่งขึ้น

  1. ปรับปรุง Meta Description ให้ตรงกับเนื้อหา

การเขียน Meta Description ที่ดีจะช่วยเพิ่มอัตราการคลิกผ่าน (CTR) จากหน้าผลการค้นหาได้ โดยMeta Description เป็นข้อความสั้น ๆ ที่อธิบายเนื้อหาของหน้าเว็บ ซึ่งจะแสดงในผลการค้นหาของ Search Engines ควรเขียนให้กระชับ น่าสนใจ และสะท้อนเนื้อหาของหน้าเว็บอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ควรใช้คีย์เวิร์ดสำคัญด้วย แต่หลีกเลี่ยงการยัดเยียดคีย์เวิร์ดมากเกินไป ควรจำกัดความยาวไม่เกิน 155-160 ตัวอักษร เพื่อให้แสดงผลได้เต็มในหน้าผลการค้นหา 

  1.  ใช้ Pop-up อย่างเหมาะสม

Pop-up สามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม แต่ต้องใช้อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้รบกวนประสบการณ์การใช้งาน ทั้งนี้ ควรกำหนดเวลาและความถี่ในการแสดง Pop-up อย่างเหมาะสม เช่น แสดงหลังจากผู้ใช้อ่านเนื้อหาไประยะหนึ่งหรือเมื่อกำลังจะออกจากเว็บไซต์, ออกแบบ Pop-up ให้สวยงาม มีข้อความที่น่าสนใจ และมีปุ่มปิดที่เห็นได้ชัดเจน นอกจากนี้ ควรพิจารณาใช้ Pop-up แบบ Responsive ที่แสดงผลได้ดีบนทุกอุปกรณ์

แล้วเว็บไซต์ของคุณมีค่า Bounce Rate อยู่ที่เท่าไหร่   

การทราบค่า Bounce Rate ของเว็บไซต์เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการพัฒนาประสิทธิภาพ แล้วเว็บไวต์ของคุณล่ะ? มีค่า Bounce Rate อยู่ที่เท่าไหร่ หากค่า Bounce Rate ของคุณสูงกว่าที่ควรจะเป็น อย่าเพิ่งท้อใจ! ใช้เทคนิคที่เราแนะนำไปปรับใช้ และติดตามผลอย่างต่อเนื่อง การลด Bounce Rate ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้าอีกด้วย

mandala ใช้ฟรี
สมัครสมาชิกเนื้อหาการตลาดฟรีของเรา

เราจะส่ง Email เนื้อหาใหม่ให้คุณทุกสัปดาห์

This email is already subscribe.