Social Media MarketingSocial ListeningFacebook MarketingInstagram MarketingTikTok Marketing
Try Mandala For Free

Neuromarketing คือ? เข้าใจจิตใต้สำนึกของลูกค้า เบื้องหลังการตัดสินใจซื้อ

Neuromarketing คือ? เข้าใจจิตใต้สำนึกของลูกค้า เบื้องหลังการตัดสินใจซื้อ

ทำความรู้จัก Neuromarketing สาขาการตลาดที่เน้นการทำความเข้าใจผู้บริโภค เพื่อพัฒนาสินค้าและโฆษณาได้อย่างเหมาะสม รวมถึงแนะนำเครื่องมือ พร้อมกรณีศึกษาจากบริษัทระดับโลก

Neuromarketing คืออะไร?

Neuromarketing เป็นสาขาการตลาดรูปแบบใหม่ ซึ่งผสานความรู้ทางประสาทวิทยา (Neuroscience) จิตวิทยา (Psychology) และเศรษฐศาสตร์ (Economics) ผ่านการศึกษาการตอบสนองของสมองมนุษย์ ต่อสิ่งกระตุ้นทางการตลาด ไม่ว่าจะเป็น โฆษณา บรรจุภัณฑ์ ราคา และการจัดวางสินค้า เพื่อทำความเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และนำข้อมูลที่ได้ไปปรับปรุงวิธีการทางการตลาด รวมถึงสร้างประสบการณ์ผู้บริโภคที่ดีขึ้นต่อไปในอนาคต 

ประโยชน์ของการทำ Neuromarketing

1. ประเมินประสิทธิภาพของสินค้า/แคมเปญทางการตลาดได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว: ผ่านการตรวจจับการตอบสนองของสมองผู้บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จับต้องได้ และมีความ Real-time

2. ลดความเสี่ยงในการลงทุน: ผลข้อมูลที่ได้จากการทำ Neuromarketing ผ่านการวิเคราะห์จากศาสตร์หลายแขนง และวัดการตอบสนองของผู้บริโภคที่มีต่อองค์ประกอบทางการตลาด (เช่น สินค้า ชิ้นงานโฆษณา หรือภาพลักษ์ของแบรนด์) จึงมั่นใจได้ว่าเรากำลังลงทุนกับสิ่งที่เชื่อถือได้ และมีแนวโน้มสูงที่จะประสบความสำเร็จ

3. ออกแบบสินค้า และบริการได้โดนใจผู้บริโภค: การนำ Neuromarketing มาช่วยปรับปรุงสินค้าและบริการ เป็นการช่วยให้แบรนด์เติบโตได้ในระยะยาว และมีความยั่งยืน เพราะสิ่งที่แบรนด์นำเสนอ คือหัวใจของการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นในแง่คุณภาพ รสชาติ ราคา บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ

4. พัฒนากลยุทธ์ทางการสื่อสารได้ดีขึ้น: Neuromarketing ช่วยทำให้การทำโฆษณา และการสื่อสารของแบรนด์มีความเฉียบคม และตอบโจทย์สิ่งที่กระตุ้นให้สมองของผู้บริโภคในแง่บวก ทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวมดีขึ้น และช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์ ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญขององค์ประกอบทางการตลาด ที่ไม่แพ้ตัวสินค้าและบริการเอง

5. ยอดขายที่เพิ่มขึ้น: เมื่อเราเข้าใจผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และปรับปรุงทั้งสินค้า รวมถึงวิธีการสื่อสารทางการตลาดให้เหมาะสมแล้ว ก็ย่อมส่งผลให้ยอดขายสูงขึ้นตาม ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดทางธุรกิจที่ไม่ว่าผู้ประกอบการคนไหนก็ให้ความสำคัญ

ตัวอย่างเครื่องมือทางหลักจิตวิทยา Neuromarketing

1. Eye Tracking

Eye tracking หรือการตรวจจับการเคลื่อนไหวของดวงตา เป็นเครื่องมือที่แพร่หลายที่สุดในการทำ Neuromarketing การขยับของดวงตาบ่งบอกได้ว่าผู้บริโภคมองเห็นและให้ความสำคัญกับองค์ประกอบไหนก่อน ส่วนการขยายและหดตัวของม่านตา ช่วยสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอารมณ์ และบ่งบอกโฟกัสของผู้บริโภคได้ ตัวอย่างของกิจกรรมที่ตรวจจับผ่านการทำ Eye Tracking ได้แก่

  • ระยะเวลาจนถึงการโฟกัสครั้งแรก (Time to first fixation)
  • ระยะเวลาการโฟกัสทั้งหมด (Total fixation duration)
  • จำนวนครั้งของการโฟกัส (Fixation count)
  • ลำดับของการโฟกัส (Fixation order)

2. การวิเคราะห์สีหน้า (Facial Coding)

หลักการวิเคราะห์สีหน้า มาจากการสังเกตผลจับคู่การแสดงออกทางสีหน้ากับ 6 อารมณ์พื้นฐาน ได้แก่ความสุข ความเศร้า ความโกรธ ความกลัว และความรังเกียจ โดยผู้เชี่ยวชาญจะใช้ระบบจำแนกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อบนใบหน้า (Facial Action Coding System) มาประเมินความรู้สึกของผู้บริโภค ต่อแคมเปญโฆษณา หรือสินค้าที่ใช้ โดยปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยตรวจจับสีหน้าผ่านเว็บแคมได้ด้วย


3. การวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG)

EEG ตรวจจับการคายประจุไฟฟ้าในสมอง และนำมาใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการที่สมองประมวลผลกระตุ้นต่าง ๆ เช่น แคมเปญการตลาด หรือความรู้สึกต่อสินค้าและบริการ

EEG สามารถประมวลผลได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมที่สุดคือการดูว่ามีการเกิดย่านความถี่ต่าง ๆ บนศีรษะส่วนไหนบ้าง และมีความสัมพันธ์กับกระบวนการทางอารมณ์และการรับรู้อย่างไร เป็นเครื่องมือทาง Neuromarketing ที่มีความแม่นยำสูง และ Real-time ไปตามกิจกรรมที่ผู้บริโภคกำลังทำ หรือตามแต่ละคอนเทนต์ที่เสพอยู่ แต่มีข้อจำกัดคือใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง และต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการแปลผล


4. การสแกนสมองด้วยเทคนิค Functional MRI (fMRI)

การใช้ fMRI จะช่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับออกซิเจนเลือดในสมอง เมื่อบริเวณใดบริเวณหนึ่งของสมองทำงานมากขึ้น ก็จะใช้ออกซิเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งใช้ประเมินสิ่งกระตุ้นทางการตลาดโดยดูการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณในสมอง แต่การใช้ fMRI ค่อนข้างมีข้อจำกัดในแง่ของเวลาที่ไม่ Real-time เพราะต้องใช้เวลาถึง 8 วินาทีในการจับภาพ และยังต้องอาศัยต้นทุนสูง 


ตัวอย่างแบรนด์ต่าง ๆ ใช้ Neuromarketing อย่างไร?

1. Google 

Google ได้ทำการวิจัย Neuromarketing ที่เรียกว่า 50 Shades of Blue เพื่อเป็นการทดสอบว่าสีน้ำเงินในโทนที่ต่างกันจะส่งผลต่อการรับรู้ของผู้บริโภคอย่างไร เพื่อเป็นการทดสอบมูลค่าสีของแบรนด์ 

shades of blue google neuromarketing
cr. slideshare.net

Google ใช้วิธีแสดงผลการค้นหาในโทนสีน้ำเงินที่แตกต่างกันไปให้กับกลุ่มเป้าหมาย แล้ววัดสถิติการคลิกระหว่างการทดลอง ผลปรากฏว่าการเปลี่ยนสีเพียงเล็กน้อยนั้นสามารถนำมาซึ่งรายได้เพิ่มขึ้นถึง 200 ล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

2. Coca-Cola

Coca-Cola เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ระดับโลกที่นำ Neuromarketing มาใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณา โดยเน้นไปที่การถูกกระตุ้นของประสาทสัมผัสทั้ง 5 และเปรียบเทียบความนิยมกับ Pepsi รวมถึงใช้กลยุทธ์ Eye Tracking ในร้านค้าปลีก เพื่อสังเกตพฤติกรรมของลูกค้า

จากการวิจัยครั้งนี้ Coca-Cola ได้เข้าใจผู้บริโภคมากขึ้น และนำไปสู่การปรับกลยุทธ์ทางการตลาดครั้งใหญ่ ที่ช่วยให้ Coca-Cola มีความโดดเด่น เหนือคู่แข่งหลักอย่าง Pepsi ด้วย

3. Spotify

ก่อนที่จะเปิดตัวในตลาดยักษ์ใหญ่อย่างอินเดียที่มีประชากรมากกว่า 1 พันล้านคน Spotify ได้ว่าจ้างบริษัท Neurons ในการทดลองหาท่วงทำนองเพลงที่มัดใจคนอินเดียได้มากที่สุด เพื่อนำมาใช้ในการทำโฆษณาเปิดตัว ปรากฏว่าโฆษณาชุดดังกล่าวได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาด ทั้งในแง่ของยอดผู้ใช้ และเปิดตัวเข้าตลาดอินเดียได้อย่างสวยงาม เพราะเน้นสร้างโฆษณาจากความชอบของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลักนั่นเอง

เข้าใจความคิดของลูกค้าให้มากขึ้นด้วย Neuromarketing

แม้ว่า Neuromarketing จะเป็นศาสตร์ใหม่ที่ต้องอาศัยวิทยาการเข้ามาช่วยในการวิเคราะห์ค่อนข้างสูง แต่ก็มีหลายสิ่งที่สามารถนำมาปรับใช้ในการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคได้ เช่น การทำสำรวจเพื่อวิเคราะห์สีหน้าและอารมณ์ของผู้ใช้งาน หรือการวัดปฏิกริยาตอบสนองต่อโฆษณาเช่นเดียวกับในกรณีของ Google และ 50 shades of blue

แต่หากสนใจทำความเข้าใจอารมณ์ของผู้บริโภคในระดับลึกแล้ว การใช้ Social Listening Tool อย่าง Mandala AI ก็เป็นตัวเลือกที่เข้าถึงได้ง่าย แถมยังช่วยวิเคราะห์ Sentiment ในระดับเลเวลความมาก-น้อย ผ่านการวิเคราะห์เสียงของผู้ใช้งานจริง ผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียและช่องทางออนไลน์อื่น ๆ อีกด้วย

mandala ai ฟรี
  • หมวดหมู่ :
สมัครสมาชิกเนื้อหาการตลาดฟรีของเรา

เราจะส่ง Email เนื้อหาใหม่ให้คุณทุกสัปดาห์

This email is already subscribe.